นายกฯ ประณามมือระเบิดป่วนเมือง

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช และ มารียัม อัฮหมัด
2019.08.05
กรุงเทพ และ ปัตตานี
190805-TH-bomb-1000.jpg เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสถานที่เกิดแหตุระเบิดตู้เอทีเอ็ม บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยฟาฏอนี ในอำเภอยะรัง ปัตตานี วันที่ 3 สิงหาคม 2562
มารียัม อัฮหมัด/เบนาร์นิวส์

ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนสอบสวนหามือระเบิดป่วนการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน เหตุเกิดเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ในวันจันทร์นี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวประณามเหตุป่วนเมืองนี้ว่า “เป็นการกระทำที่ชั่วร้าย” โดยระบุว่า ยังไม่ได้ตัดเหตุจูงใจในประเด็นใดประเด็นหนึ่งออกไป

นอกจากนั้น พลเอก ประยุทธ์ ยังได้กล่าวตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงการเจรจากับกลุ่มมาราปาตานี ซึ่งเป็นองค์กรร่มของกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐว่า ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าราชอาณาจักรไทยเป็นเอกรัฐ ไม่สามารถแบ่งแยกได้ ทั้งนี้ การดำเนินการเจรจากับกลุ่มมาราปาตานี ได้สะดุดลงไปก่อนหน้าการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

“ผมถือว่าเป็นการกระทำที่ชั่วร้าย ไม่ว่าที่ใดก็ตามก็มีปัญหากันหมด โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในห้วงเวลานี้ คนที่ดำเนินการหรือคนที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นใคร แต่ถือว่าใจร้ายใจดำที่ทำให้ประเทศเกิดความวุ่นวาย ในขณะที่กำลังเดินได้อยู่ในการเป็นรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย” พลเอกประยุทธ์ กล่าวแก่ผู้สื่อข่าว ในระหว่างการงานครบรอบ 132 ปี วันพระราชทานกำเนิดโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ที่เขาชะโงก จังหวัดนครนายก

“ขณะนี้ ยังไม่ได้ตัดสาเหตุจูงใจใดทิ้ง ต้องตรวจสอบทุกมุมก่อน ขอให้ใจเย็นๆ เพราะมีผู้เกี่ยวข้องนับสิบกว่าคน ที่ต้องตามจับกุมมาดำเนินคดีให้ได้ เพื่อที่จะได้สอบสวนหาสาเหตุว่ามาจากอะไร ขอให้อย่ากดดันเจ้าหน้าที่เพราะจะทำให้ทำงานลำบาก” พลเอกประยุทธ์ กล่าวเพิ่มเติม

เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กลุ่มคนร้ายได้เริ่มวางกล่องที่ประกอบด้วยวงจรอิเล็กโทรนิกแต่ไม่มีดินระเบิด วางระเบิดแสวงเครื่องขนาดเล็ก และวางกล่องที่ภายในบรรจุกระดาษ เพื่อสร้างความเสียหายและสร้างความปั่นป่วนในเมืองหลวงและปริมณฑล  ในระหว่างที่มีการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน และการประชุมที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ซึ่งมีรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย เข้าร่วมประชุมด้วย

ในเวลาประมาณเก้าโมงเช้าของวันศุกร์ ได้มีระเบิดขนาดเล็กลูกแรกระเบิดขึ้น ภายในซอยพระรามเก้า 57/1 ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 คน เป็นเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดของกรุงเทพมหานคร เขตสวนหลวง ในจำนวนนี้ สองรายได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าและลำคอ อีกคนมีอาการหูอื้อ ทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ในเวลาไล่เลี่ยกัน เกิดเหตุระเบิดสองครั้ง ที่ใต้สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรีย์ เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าหนึ่งราย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล จากนั้นมีระเบิดหรือระเบิดปลอมอีกหลายแห่ง รวมทั้งใกล้สำนักปลัด กระทรวงกลาโหม แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ในคืนวันพฤหัสบดี เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายลูไอ แซแง และนายวิลดัน มาหะ ชาวอำเภอรือเสาะ นราธิวาส ในขณะที่เดินทางด้วยรถทัวร์จากกรุงเทพมาถึงจังหวัดชุมพร โดยเจ้าหน้าที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าทั้งสองเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนวางกล่องต้องสงสัยที่ตรวจสอบพบว่าภายในมีแผงวงจรอิเล็กโทรนิก แต่ไม่มีดินระเบิด ซึ่งได้วางที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ห่างจากสถานที่จัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ในโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ราวสี่ร้อยเมตร

ญาติได้เยี่ยมผู้ต้องสงสัยแล้ว

ในวันนี้ นายลูไอ แซแง และนายวิลดัน มาหะ ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า จังหวัดยะลา โดยเจ้าหน้าที่ได้อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมผู้ต้องสงสัยได้ หลังจากที่ญาติไม่สามารถสอบถามหาที่คุมขังบุคคลทั้งสองได้เมื่อถูกควบคุมตัวตั้งแต่ตอนแรก อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่มีการตั้งข้อหาใดๆ

พล.ต.ต.ทิวธวัช นครศรี ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง (ผบก.พฐก.) กล่าวว่า ในขณะนี้ เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ ของทั้งสองเพื่อนำไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวเคยมีประวัติความเกี่ยวข้องกับคดีในพื้นที่ภาคใต้ หรือคดีอื่นๆ หรือไม่

นอกจากนี้ จะนำตัวอย่างดีเอ็นเอที่ได้ ไปเปรียบเทียบกับพยานหลักฐานที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุ ทั้งจากตัววัตถุระเบิดและอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณสองถึงสามวัน จึงจะทราบว่าตัวอย่างดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยสองคน จะตรงกับเหตุที่หน้า สตช. หรือไม่ ก่อนจะส่งข้อมูลดังกล่าวให้คณะทำงานในคดีตั้งข้อหา ตามขั้นตอนต่อไป

ด้านนางรอฮานิง มาหะ มารดาของนายวิลดัน มาหะ ผู้ต้องสงสัย กล่าวว่า ดีใจที่ได้เข้าเยี่ยมลูกชายในจังหวัดยะลา หลังจากที่ได้เดินทางไปยังกรุงเทพ แต่ไม่ได้รับคำตอบถึงสถานที่ควบคุมตัวในก่อนหน้านั้น และระบุว่า เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ตั้งข้อหากับบุตรชาย

“เจอน้องแล้วสบายใจ รู้ว่าน้องปลอดภัยแม่ก็ดีใจแล้ว ได้ถามทุกข์สุขธรรมดา แม่บอกว่าญาติฝากสลามและคิดถึงทุกคน... ตอนนี้ เจ้าหน้าตำรวจยังไม่ได้ตั้งข้อหาอะไรกับผู้ต้งสงสัย หรืออาจจะเป็นเพราะลูกชายยังไม่ให้การอีก” นางรอฮานิง กล่าวแก่ผู้สื่อข่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามนางรอฮานิงว่า ได้สอบถามลูกชายหรือไม่ว่าได้กระทำการตามที่เจ้าหน้าที่สงสัยหรือไม่ นางรอฮานิงตอบว่า

“ลืมถามลูก เพราะดีใจทีได้เห็นหน้าลูก พร้อมขอร้องเจ้าหน้าที่ซักถามด้วยความยุติธรรม ถ้าเป็นจริงก็ว่าตามกฎหมายไป และขออย่าทรมานลูกเราก็แล้วกัน ในขณะซักถามหรือที่จุดซักถามที่ไหนก็ตาม”

ประยุทธ์: การพูดคุยเพื่อสันติสุขต้องระมัดระวัง

หลังจากการเกิดการระเบิดและการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยที่มีภูมิลำเนาในอำเภอรือเสาะ จังหวัดยะลา ทำให้สังคมเกิดความสงสัยว่า ขบวนการก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ หรือที่ฝ่ายรัฐบาลเรียกว่า “กลุ่มผู้เห็นต่าง” มีส่วนในการปฏิบัติการครั้งนี้หรือไม่ ซึ่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ระบุว่า ได้มีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 10 คน พร้อมด้วยอาวุธปืนครบมือแต่งกายชุดดำคล้ายเจ้าหน้าที่ ลอบวางระเบิดตู้เอทีเอ็ม ในจังหวัดปัตตานี ถึงสามจุด

ในวันนี้ ผู้สื่อข่าวจึงได้ถามนายกรัฐมนตรี ถึงเรื่องการพูดคุยเพื่อสันติสุขฯ ซึ่งนายกฯ กล่าวว่า

“เรื่องการพูดคุยต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังอย่างที่สุด สิ่งแรกที่มีความแตกต่าง คือ เพราะเหตุใดเราถึงไม่พูดในประเทศของเรา ไม่สงสัยกันบ้างเลยหรืออย่างไร เพราะการที่รัฐจะไปพูดคุยกับใครก็ตามในเรื่องของความไม่เรียบร้อยไม่สามารถทำได้ ที่ผ่านมาเป็นเรื่องของประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาช่วย ก็ไปหารือกัน ได้ข้อสรุปอย่างไรเสนอมาทางรัฐบาลเป็นผู้ตัดสินใจในการทำงาน และต้องยึดมั่นในหลักการของรัฐธรรมนูญ ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียวแบ่งแยกไม่ได้ ทั้งในเรื่องของดินแดนหรือพื้นที่ภายในทั้งหมด”

นายกฯ ยังระบุอีกว่า ต้องมีความเห็นใจกันในการพยายามแก้ไขปัญหา และขอให้ติดตามดูว่าสถานการณ์บ้านเมืองของเราแตกต่างกับต่างประเทศอย่างไร ซึ่งหลายประเทศมีการต่อสู้กันมายาวนานกว่าจะสามารถยุติปัญหาลงได้ ซึ่งประเทศไทยไม่ได้ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ยาวนาน อะไรก็ตามที่รับได้ก็จะทำ

“วันนี้ อยากจะบอกว่าเรามีหลายมาตรการ ทั้งเรื่องกฎหมายและการพัฒนา การพาคนกลับบ้าน แต่ทุกอย่างต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งเราเปิดทุกช่องทาง ขอให้ใจเย็น ซึ่งการพูดคุยสันติสุข ไม่ใช่การเจรจา กำลังพิจารณาอยู่เพราะ พล.อ.อุดมชัย ก็ไปทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา ขอให้ใจเย็น” พลเอกประยุทธ์ กล่าว

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง