นายกฯ สั่งจับตาสถานการณ์ อิหร่าน-สหรัฐฯ ใกล้ชิด และคนไทยต้องปลอดภัย

นนทรัฐ ไผ่เจริญ
2020.01.06
กรุงเทพฯ
200106-PH-protest-1000.jpg ชาวฟิลิปปินส์ประท้วงการโจมตีทางอากาศในอิรัก ที่สังหารผู้บัญชาการทหารชาวอิหร่าน พลตรี คาเซม โซเลมานี ใกล้กับสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงมะนิลา วันที่ 6 มกราคม 2563
บาซิลิโอ เซเป/เบนาร์นิวส์

ในวันจันทร์นี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวแก่สื่อมวลชนถึงกรณีพิพาทระหว่างประเทศอิหร่าน และสหรัฐอเมริกาว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ไทยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแล้ว โดยสิ่งที่จำเป็นที่สุดคือ ประชาชนไทยที่อาศัยอยู่ใกล้เขตความขัดแย้งต้องปลอดภัย ด้านกระทรวงการต่างประเทศ เตือนคนไทยที่อยู่ในประเทศอิรัก ห้ามเข้าใกล้พื้นที่ชุมนุมของชาวอิหร่าน-อิรัก

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวแก่สื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงสถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง หลังการที่สหรัฐอเมริกาได้ปฏิบัติการสังหาร พลตรี คาเซม โซเลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ (Quds Forces) ของอิหร่านที่ประเทศอิรัก จนทำให้เกิดความไม่พอใจของชาวอิหร่าน-อิรัก นำไปสู่สถานการณ์ตึงเตรียด โดยระบุว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยเฝ้าระวังสถานการณ์เป็นพิเศษแล้ว

“ได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง ดูแลสถานทูต ตลอดจนสถานที่สำคัญต่างๆ ซึ่งผมได้สั่งการไปแล้ว งานเหล่านี้บางครั้งไม่ได้พูดไว้ก่อน แต่ก็เป็นการสั่งการวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะข้อมูลต่างๆ ที่เข้าม ทั้งเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ การต่างประเทศ ได้รายงานนายกฯ ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง อยู่แล้ว ซึ่งผมก็สั่งการไปแล้วให้หัวหน้าหน่วยงานรับผิดชอบปฏิบัติ ขณะเดียวกันได้มีการเสริมกำลังในสถานทูตต่างๆ โดยเฉพาะบางสถานทูตที่สำคัญ” พลเอกประยุทธ์ กล่าว

พลเอกประยุทธ์ ระบุว่า การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ไทยจะคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนไทยเป็นสำคัญที่สุด โดยเบื้องต้นมีแผนที่จะรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว

เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2563 ตามเวลาท้องถิ่นประเทศอิรัก พลตรี คาเซม โซเลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ (Quds Forces) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามอิหร่าน ถูกโจมตีโดยอากาศยานไร้คนขับจนเสียชีวิต ขณะเดินทางด้วยรถหุ้มเกราะบนถนน ใกล้กับสนามบินนานาชาติในกรุงแบกแดด ของอิรัก การโจมตีครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 ราย ต่อมากระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปตามคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในต่างประเทศ หลังจากที่ พลตรีคาเซม ได้วางแผนโจมตีนักการทูตสหรัฐอเมริกาในอิรัก

การสังหาร พลตรีคาเซม ส่งผลให้ประชาชนอิหร่านแสดงความไม่พอใจ และรวมตัวกันไว้อาลัย รวมถึงประท้วงรัฐบาลสหรัฐฯ โดยประชาชนอิรัก-อิหร่านที่อาศัยอยู่ในอิรักได้รวมตัวกันชุมนุมต่อต้านสหรัฐฯ ขึ้น ทั้ง นายอาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านก็ได้ประกาศว่า จะดำเนินการล้างแค้นสหรัฐฯ และหลังจากนั้นไม่นานได้เกิดเหตุจรวดของกองกำลังไม่ทราบฝ่ายถูกยิงไปตกใกล้สถานทูตสหรัฐฯ ในอิรักด้วย

ต่อมาในวันที่ 5 มกราคม 2563 สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน ได้ออกหนังสือประกาศเตือนคนไทยที่อาศัยอยู่ในอิรัก ให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในสถานที่ชุมนุม และคนไทยนอกประเทศอิรักให้ยกเว้นการเดินทางเข้าอิรัก

“ขอประกาศให้คนไทยที่พำนักในอิรัก ใช้ความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินทางใกล้สถานที่ชุมนุม รวมทั้งขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปอิรัก ยกเว้นการเดินทางไปอิรักเป็นการชั่คราว จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด” สถานเอกอัคราชทูต ณ กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน ระบุผ่านเฟซบุ๊ค Royal Thai Embassy in Amman, Hashemite Kingdom of Jordan

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ปัจจุบัน มีแรงงานไทยที่ทำงานในประเทศอิหร่าน 257 คน และประเทศอิรัก 25 คน โดยส่วนใหญ่ทำงานในตำแหน่งช่างเทคนิค พ่อครัว พนักงานนวด พนักงานบริการ ช่างเชื่อม ชาวประมง และพนักงานโรงงาน

นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์แก่เบนาร์นิวส์ว่า ปัจจุบัน จะยังไม่มีการดำเนินการอพยพ หรือมาตรการใดเพิ่มเติม นอกจากการเตือนประชาชนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศอิรักให้หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้พื้นที่ชุมนุม

“ประเทศไทยร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้ความอดทนอดกลั้นสูงสุด หลีกเลี่ยงการยั่วยุและละเว้นการใช้กำลัง เพื่อลดความตึงเครียดและเพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค" นางสาวบุษฎี ระบุ

"ประเทศไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตที่เกี่ยวข้องจะได้ติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด และประเมินสถานการณ์ต่อไป”

ต่อข้อกังวลเรื่องราคาน้ำมัน หลังความตึงเครียดระหว่างอิหร่าน-สหรัฐฯ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เขียนข้อความผ่านเฟซบุ๊คแฟนเพจส่วนตัวระบุว่า รัฐบาลได้เตรียมมาตรการรับมือความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงแล้ว ขอให้ประชาชนคลายกังวลและมั่นใจว่า กระทรวงพลังงานได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

“กระทรวงพลังงานได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน เรามีน้ำมันเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ โดยใช้ได้สูงสุดถึง 50 วัน แบ่งเป็นน้ำมันดิบ ที่ใช้ได้ 36 วัน (4,133 ล้านลิตร) กับน้ำมันสำเร็จรูปที่ใช้ได้ 14 วัน (1,468) ส่วนปริมาณก๊าซ LPG สำรองได้ 17 วันเพื่อใช้ในภาคครัวเรือน (101 ล้านกิโลกรัม) และยังสามารถนำเข้าจากแหล่งอื่นมาทดแทนได้ไม่กระทบการบริโภคภายในประเทศ” นายสนธิรัตน์ ระบุ

“ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เราได้บริหารความเสี่ยง โดยลดสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางลงเหลือครึ่งหนึ่ง ส่วนการผลิตน้ำมันดิบภายในประเทศ หากมีความจำเป็นก็จะขอความร่วมมือให้งดการส่งออกน้ำมันดิบ และเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นอีกครับ สำหรับด้านราคาน้ำมันในตลาดโลก กองทุนน้ำมันเชื่อเพลิงมีแผนรองรับในกรณีฉุกเฉินเพื่อบริหารจัดการไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนไว้แล้ว” ตอนหนึ่งของข้อความที่ นายสนธิรัตน์ เขียน

ขณะเดียวกัน พันตำรวจเอก กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามสถานการณ์ และหาข่าวความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งอิหร่าน-สหรัฐฯ อยู่แล้ว โดย พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ตำรวจทุกหน่วย อาทิ ตำรวจสันติบาล ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับกองการต่างประเทศ เฝ้าติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด เฝ้าระวัง และสืบสวนหาข่าวในพื้นที่สำคัญ เช่น สถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุล ประจำประเทศไทย โบสถ์ มัสยิด และจุดล่อแหลมต่าง ๆ เพื่อป้องกันเหตุแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง