ผบ.ตร.แถลงปิดคดีข่มขืนนักท่องเที่ยวอังกฤษบนเกาะเต่า
2018.10.16
กรุงเทพฯ

ในวันนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต. สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาราชการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกันแถลงปิดคดีการสืบสวนสอบสวนกรณีนักท่องเที่ยวสาวชาวอังกฤษ อ้างว่าถูกวางยาก่อนถูกล่วงละเมิดทางเพศบนเกาะเต่า หลังผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานไม่พบคราบอสุจิบนของกลางตามที่กล่าวอ้าง
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ตำรวจได้ทำการสืบสวนมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงปัจจุบันในทุกมิติ ตั้งแต่ที่โรงพัก ที่กองพิสูจน์หลักฐาน หรือการส่งพนักงานสอบสวนไปสอบปากคำผู้เสียหายที่ประเทศอังกฤษและนำหลักฐานกลับมาตรวจสอบ เพื่อทำให้สิ้นข้อสงสัยแล้ว พร้อมยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย หากว่ามีเหตุเกิดขึ้นและมีคู่กรณีเจ้าหน้าที่ก็พร้อมจะดำเนินการให้ถึงที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำทุกอย่าง ทุกประเด็นครบถ้วนหมดแล้ว
“ณ วันนี้ เชื่อว่าความจริงได้ปรากฏแล้ว เรื่องของอิสซาเบลล่านี้ ขอให้ยุติแต่เพียงเท่านี้ แต่ถ้ามีพยานหลักฐานใหม่เราก็ยินดีเดินต่อ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวในการแถลงข่าวในวันนี้
สำหรับคดีนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่นักท่องเที่ยวสาวชาวอังกฤษอายุ 19 ปี รายหนึ่ง เดินทางมาเที่ยวเกาะเต่ากับเพื่อนชาย 4 คน ในเดือนมิถุนายนปีนี้ ซึ่งต่อมาหญิงสาวอ้างว่า ถูกวางยาและถูกข่มขืนโดยชายชาวเอเชีย และอ้างว่าเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ไม่รับแจ้งความกรณีการถูกข่มขืน จึงได้เดินทางกลับอังกฤษ ก่อนที่มารดาของหญิงสาวจะพาเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจอังกฤษ และนำส่งหลักฐานเสื้อที่คาดว่าจะมีร่องรอยของอสุจิของคนร้าย ให้เจ้าหน้าที่ทำการพิสูจน์เพื่อยืนยันตัวบุคคล กลายเป็นข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์ของสื่ออังกฤษ
ด้าน พ.ต.ท. ปิยะพงษ์ บุญแก้ว สารวัตรใหญ่สถานีภูธรเกาะเต่า หัวหน้าพนักงานสอบสวน ผู้ร่วมเดินทางไปยังประเทศอังกฤษเพื่อสอบปากคำผู้เสียหายสรุปประเด็นจากการสอบปากคำได้ 5 ประเด็น โดยประเด็นที่ 1 เป็นเรื่องสถานที่เกิดเหตุ ที่พนักงานสอบสวนได้เตรียมภาพถ่าย แผนที่ที่เกิดเหตุพร้อมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุ และสถานที่ใกล้เคียงที่เกิดเหตุ ให้ผู้เสียหายดู แต่ผู้เสียหายไม่สามารถยืนยันบริเวณที่เกิดเหตุได้ ประเด็นที่ 2 ข้อมูลตำหนิรูปพรรณของคนร้าย พนักงานสอบสวนรับมาได้เพียงแต่ว่า เป็นผู้ชายมีหนวดเครา ผมสีดำเท่านั้น แต่ไม่มีข้อมูลอื่นใดเพียงพอจะนำไปยืนยัน หรือระบุรูปพรรณสัณฐานเปรียบเทียบกับบุคคลใดในการดำเนินคดีต่อไปได้ ประเด็นที่ 3 ตำหนิรูปพรรณของทรัพย์ที่หาย ได้รับเพียงแต่ว่าเป็นเงินไทย จำนวน 3,000 บาท ไอโฟน 7plus และบัตรเครดิตสามใบ ซึ่งได้ข้อมูลจากผู้เสียหายเพียงชื่อสถาบันการเงินเจ้าของบัตรทั้ง 3 ใบ ประกอบกับผู้เสียหายอายัดบัตรและยังไม่มีการทำบัตรใหม่ ข้อมูลจึงไม่เพียงพอที่จะนำไปดำเนินการต่อได้ ประเด็นที่ 4 พฤติกรรมคนร้าย พนักงานสอบสวนไม่ได้ข้อมูลรูปแบบพฤติกรรมการกระทำผิดของคนร้าย ก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ ทั้งการประทุษร้ายต่อทรัพย์และประทุษร้ายต่อร่างกาย เพื่อนำไปเทียบเคียงกับเหตุประทุษกรรมของคนร้ายในสารบบหรือคดีอื่นได้เลย
แต่ประเด็นที่ 5 พนักงานสอบสวนได้รับพยานวัตถุกลับมาหนึ่งชิ้น ซึ่งได้นำส่งตรวจไปแล้วกับกองพิสูจน์หลักฐานกลางเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา
“ผลการตรวจพิสูจน์พบว่า ตรวจไม่พบคราบอสุจิ ที่เสื้อยืดของกลางแต่อย่างใด แต่เราตรวจพบดีเอ็นเอของบุคคลสองคน เป็นดีเอ็นเอ ผู้หญิงหนึ่งคน และดีเอ็นเอของผู้ชายหนึ่งคน และดีเอ็นเอของผู้ชาย ไม่ใช่คราบอสุจิ จากการตรวจเสื้อทั้งตัวไม่พบคราบอสุจิ” พล.ต.ต.ปรีดี พงศ์เศรษฐสันต์ รองผู้บัญชาการ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ แถลงต่อสื่อมวลชน
ทั้งนี้ พล.ต.ต.ปรีดี ยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับของกลางที่ได้รับจากสารวัตรใหญ่ สภ.เกาะเต่า ด้วยว่าเป็นเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีกรมท่า หนึ่งตัว ที่พนักงานสอบสวนต้องการจะทราบว่า มีคราบอสุจิที่เสื้อของกลางดังกล่าว หรือไม่ และหากพบว่ามีรูปแบบ ดีเอ็นเอ แบบใด และจะสามารถใช้ยืนยันตัวบุคคลได้หรือไม่ นี่คือเป้าหมายในการตรวจ
พนักงานสอบสวนยังทำสำนวนคดีมือเฟสบุ๊คหมิ่นเจ้าหน้าที่ไม่เสร็จ
ต่อกรณีที่เพจสมุยไทม์ และเจ้าของเฟสบุ๊คเพจ CSI LA ลงข้อความตำหนิการปฏิบัติการเจ้าหน้าที่ในก่อนหน้านี้นั้น พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล กล่าวว่า จะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป ในขณะที่ได้แจ้งความดำเนินคดีฐานกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ต่อคนที่แชร์ข้อความเท็จเหล่านั้นไปแล้วคนละ 3 กระทง
“ในเรื่องของเพจ CSI LA นั้น เจ้าของเพจขณะนี้อยู่ต่างประเทศ เราจะได้ดำเนินการตามขั้นตอนของการติดตามคนร้ายต่อไป ส่วนเรื่องคนที่แชร์ข้อความเราได้นำตัวคนที่แชร์มาดำเนินคดีแล้ว ซึ่งท่าน ผบ.ตร. ย้ำว่าให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น จะเห็นได้ว่าการแชร์ข้อความที่บิดเบือนแทบไม่มีแล้ว” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ แถลงต่อผู้สื่อข่าว
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของผู้ต้องหาทั้ง 12 ราย กล่าวแก่เบนาร์นิวส์โดยทางโทรศัพท์ว่า ในขณะที่พนักงานสอบสวน ยังทำสำนวนไม่เสร็จและจะขอสอบปากคำผู้ต้องหาเพิ่มเติม ในวันที่ 18 ตุลาคมนี้