สำนักจุฬาราชมนตรีประณามผู้ก่อเหตุยิง 15 ศพ ที่ยะลา

มารียัม อัฮหมัด
2019.11.08
ปัตตานี
191108-TH-deepsouth-death-1000.jpg เพื่อนบ้านช่วยกันฝังศพหนึ่งในผู้เสียชีวิต 15 ราย ที่ถูกยิงถล่ม โดยกลุ่มคนร้ายเมื่อดึกวันอังคารที่ 5 พ.ย. ในจังหวัดยะลา ภาพวันที่ 8 พ.ย. 2562
เบนาร์นิวส์

ในวันศุกร์นี้ สำนักจุฬาราชมนตรี ออกแถลงการณ์ประณามคนร้ายที่ก่อเหตุบุกยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาสาสมัคร และชาวบ้าน ในจังหวัดยะลา เสียชีวิต 15 คน เมื่อกลางดึกคืนวันอังคารที่ผ่านมา ด้าน พลโท พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งการให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า ไล่ล่าคนร้ายอย่างกระชั้นชิด เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้จงได้

ในวันนี้ สำนักจุฬาราชมนตรี ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อบรรดาญาติของผู้สูญเสียทุกคน

“และขอประณามการกระทำอันเหี้ยมโหดที่กระทำต่อประชาชนที่อาสามาดูแลความสงบสุขของชุมชน ยิ่งไปกว่านั้นความรุนแรงได้ทำลายความสัมพันธ์การอยู่ร่วมกันของพี่น้องชาวไทยพุทธ และมุสลิมในพื้นที่ และนอกพื้นที่อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้” นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี กล่าวในแถลงการณ์

“สำนักจุฬาราชมนตรีเห็นว่าการใช้ความรุนแรงอย่างไร้ขอบเขตเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม และละเมิดกับหลักธรรมคำสอนของทุกศาสนาอย่างร้ายแรง และสำหรับศาสนาอิสลามนั้นการฆ่าผู้บริสุทธิ์ถือว่าเป็นบาปใหญ่ ดังปรากฏในพระมหาคำภีร์อัลกุรอ่าน ความว่า แท้จริงผู้ใดฆ่าชีวิตผู้อื่น ชีวิตหนึ่งก็ประหนึ่งว่า เขาได้ฆ่ามนุษย์ทั้งมวล และหากผู้ใดช่วยรักษาชีวิตมนุษย์ชีวิตหนึ่งก็ประหนึ่งว่า เขาได้รักษาชีวิตมนุษย์ทั้งมวล” แถลงการณ์ตอนหนึ่ง ระบุ

ทั้งนี้ สำนักจุฬาราชมนตรี ยังเรียกร้องให้ รัฐบาลเร่งดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกระบวนการทางกฎหมาย และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ และเรียกร้องให้ดำเนินการเจรจาสันติสุข เพื่อแก้ไขปัญหา

ด้าน ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรี และประธานสภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม กล่าวว่า คนร้ายที่ก่อเหตุดังกล่าว จะเป็นต้องถูกประณาม เนื่องจากทุกคนมีสิทธิ์ที่มีชีวิตอยู่เท่ากัน

“พลเรือนทุกคนไม่ว่าศาสนาใด​ ต้องได้รับการปกป้องโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา​ เพราะทุกคนมีสิทธิ์​ที่จะดำรงชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน การแบ่งเขาแบ่งเราอาจทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมและความอธรรม​ ซึ่งอาจขยายความขัดแย้งให้กว้างขึ้น ร่วมกันปกป้องสังคมชายแดนใต้ด้วยการสถาปนาความเป็นธรรมและเท่าเทียม" ดร.วิสุทธิ์ กล่าว

เจ้าหน้าที่เร่งไล่ล่าคนร้าย - ไม่จำเป็นต้องประกาศเคอร์ฟิว

ในวันเดียวกันนี้ พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุว่า กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ส่งกำลังหน่วยรบพิเศษปฏิบัติการไล่ล่าคนร้ายอย่างใกล้ชิดแล้ว

“ได้เข้าไปปิดล้อมกดดันบริเวณเทือกเขานางจันทร์ (อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา) แล้ว จำนวน 4 เป้าหมาย ส่วนกลุ่มที่สอง คือ กลุ่มบุคคลเป้าหมายที่คอยให้การช่วยเหลือสนับสนุนกลุ่มคนร้ายที่พาหลบหนีในพื้นที่หมู่บ้านจำนวน 9 เป้าหมาย และเป้าหมายสุดท้าย คือ การเข้าติดตามตัวบุคคลที่เป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง และมีบัญชีรายชื่ออยู่แล้ว 21 เป้าหมาย” พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวเพิ่มเติม

ด้าน พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้เปิดเผยถึงผลการตรวจสอบปลอกกระสุนจากที่เกิดเหตุ ซึ่งเชื่อว่ามีคนร้ายลงมือยิง 18 คน และผู้ลงมือและสนับสนุนราว 40 ถึง 50 คน พร้อมทั้งกล่าวแก่ผู้สื่อข่าวว่า จะไล่ล่าให้ได้ตัวคนร้ายโดยเร็ว

“ผมได้มีการพูดคุยกับแม่ทัพภาคที่ 4 แล้วว่าจะมีการเปิดปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุให้ได้ภายใน 1-2 วันนี้ โดยคนร้ายกลุ่มนี้เป็นคนร้ายที่ติดตามจับกุมจากคดีเก่าๆ มาโดยตลอด รู้ว่าเป็นใคร แต่หาตัวไม่เจอ เนื่องจากกลุ่มนี้จะอยู่ในพื้นที่ป่าเขา ซึ่งจะมีการปฏิบัติการในพื้นที่เหล่านี้ด้วย มีเป้าหมายแล้ว” พล.ต.ท.รณศิลป์ กล่าว

ทั้งนี้ ชุดสอบสวน ระบุว่า กลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ แบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก คือ กลุ่มจากปัตตานี และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ซึ่งมีสามพี่น้องตระกูลหลำโซ๊ะ ได้แก่ นายบูคอรี หลำโซ๊ะ นายซอบรี หลำโซ๊ะ นายรอซาลี หลำโซ๊ะ เป็นแกนนำกลุ่ม

ส่วนกลุ่มของ อ.กาบัง อ.ยะหา อ.บันนังสตา จะมีนายอับดุลเลาะ โต๊ะเต้ นายรอกิ ดอเลาะ นายฮูไบดีละห์ รอมือลี นายอหมัด ตืองะ เป็นแกนนำกลุ่ม และร่วมปฎิบัติการกับกลุ่มเปอร์มูดอในพื้นที่ ซึ่งกลุ่มเปอร์มูดอ คือกลุ่มแนวร่วมกลุ่มใหม่ที่ผ่านการฝึกการปฎิบัติการ และทางฝ่ายความมั่นคงยังไม่มีข้อมูล  โดยสองกลุ่มหลักนี้รวมตัวกันเฉพาะกิจเพื่อปฎิบัติการในครั้งนี้

ด้าน พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้กล่าวถึงข่าวการประกาศเคอร์ฟิวว่า ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังไม่จำเป็นต้องใช้เคอร์ฟิว

“ปัจจุบันการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ภายใต้อำนาจทางกฏหมายที่มีอยู่ไม่ได้ถูกจำกัดโดยบุคคล หรือกลุ่มบุคคลจึงไม่มีเหตุผล และความจำเป็นอันใดที่จะต้องประกาศใช้เคอร์ฟิวส์ในพื้นที่ตามที่เป็นข่าว” พล.ท.พรศักดิ์ กล่าว และระบุอีกว่า

กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะใช้มาตรการทางกฏหมายภายใต้อำนาจที่มีอยู่ด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ ในวันนี้ ได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยคณะรัฐมนตรีมีมติให้ผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มีอำนาจในการขอความร่วมมือจากหน่วยงานราชการต่าง และประกาศเคอร์ฟิวใน 9 อำเภอ ของสี่จังหวัดภาคใต้ได้ ในห้วงเวลา 1 ธ.ค. 2562 ถึง 30 พ.ย. 2563 ทั้งนี้ในพื้นที่ 28 อำเภอที่เหลือ จากทั้งหมด 37 อำเภอในจังหวัดชายแดนใต้ ยังคงถูกควบคุมภายใต้ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 (กฎอัยการศึก) และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ)

อัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาคดีวางระเบิดพื้นที่กรุงเทพฯ และนนทบุรี รวม 11 ข้อหา

นอกจากนั้น ในวันนี้ ทนายกิจจา อาลีอิสเฮาะ ทนายของผู้ต้องหาคดีระเบิดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล กล่าวว่า “เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา อัยการได้สั่งฟ้อง นายวิลดัน มาหะ 27 ปี นายลูไอ แซแง 22 ปี นายมูฮัมหมัดอิลฮัม สะอิ 27 ปี ข้อหาก่อการร้าย-อังยี่ซ่องโจร และข้อหาอื่นๆ รวม 11 ข้อหา”

"ตอนนี้ ผู้ต้องหาทั้งหมดมีรายชื่ออยู่ในเรือนจำของกรมราชทัณฑ์ แต่ตัวผู้ต้องหาทั้งหมดถูกควบคุมที่กรมทหารราบที 11 ก็งงอยู่เหมือนกันว่าทำไมไม่อยู่ที่เรือนจำคลองเปรม หรือเรือนจำของกรมราชทัณฑ์" ทนายกิจจากล่าว

"ทางญาติทราบแล้วว่า มีการฟ้องผู้ต้องหาทั้งสามราย ซึ่งตอนนี้ทางทีมทนายได้เข้าไปดูแลทั้งสามรายแล้ว หลังจากทางอัยการฟ้อง เมื่อวันที่ 7 ที่ผ่านมา และศาลก็ได้นัดตรวจสอบหลักฐาน ในวันที่ 16 ธันวาคม"

นับตั้งแต่การวางระเบิดที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม นี้ จนเกิดระเบิด 9 ครั้ง ในพื้นที่ 4 แห่ง และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 ราย ในวันถัดมา เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัย โดยในจำนวนนั้น เป็นชายชาวรือเสาะ นราธิวาส 2 ราย พร้อมตั้งข้อหาพยายามฆ่าและอื่นๆ รวมทั้ง ยังได้ออกหมายจับผู้ต้องหารายอื่นๆ อีก 4 ราย

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง