มหาเธร์ ยืนยันความรุนแรงทางภาคใต้ไม่ใช่ความขัดแย้งทางศาสนา
2018.10.25
กรุงเทพฯ
ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย บรรยายพิเศษในหัวข้อ ความสัมพันธ์ทวิภาคี มาเลเซีย-ไทย ในบริบทอาเซียน (Malaysia - Thailand Bilateral Relations in the context of ASEAN) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันพฤหัสบดีนี้ ย้ำว่า ประเทศในภูมิภาคอาเซียนต้องร่วมกันรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค พร้อมยกตัวอย่างความสัมพันธ์ของประเทศไทยและมาเลเซียที่เน้นการเจรจาในการแก้ปัญหามากกว่าการใช้ความรุนแรง ส่วนปัญหาชายแดนทางภาคใต้ของประเทศไทยนั้น ไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้งทางศาสนา แต่เป็นความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น เพราะไม่สามารถกอบกู้ดินแดนของตนคืนมาได้
โดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย วัย 93 ปี ย้ำว่า ตนไม่เชื่อในการใช้ความรุนแรง ในการแก้ปัญหาใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งได้ยกกรณีพิพาทในการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย ซึ่งมีผลประโยชน์ด้านพลังงานมูลค่ามหาศาล ว่าสามารถยุติลงได้ด้วยการเจรจาแบ่งผลประโยชน์กันคนละครึ่งอย่างเท่าเทียม และได้กำหนดให้เป็นพื้นที่พัฒนาร่วมกันระหว่างสองประเทศ แทนที่จะใช้ความรุนแรง ซึ่งเป็นตัวอย่างที่แสดงให้สังคมโลกได้เห็นว่า กรณีพิพาทหรือความขัดแย้งสามารถยุติได้ โดยไม่ต้องมีการทำสงคราม หรือให้คนนอกมาเป็นผู้ตัดสิน
นอกจากนี้ นายกฯ มหาเธร์ ได้ตอบคำถามที่ว่า มีสิ่งใดจะแนะนำรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาเรื่องความสุดโต่งทางศาสนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งนายกฯ มหาเธร์ ได้พูดถึงต้นตอของปัญหาความไม่สงบว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องของความแตกต่างทางศาสนา แต่เป็นเรื่องของการที่ประชาชนรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้สั่งสมความโกรธ ความตึงเครียด เพราะไม่สามารถต่อสู้ด้วยอาวุธแบบดั้งเดิม เพื่อกอบกู้ดินแดนของตนคืนมาได้ จนสามารถทำอะไรที่ไม่ทันยั้งคิดได้ในที่สุด ซึ่ง นายกฯ มหาเธร์ ระบุว่าปัญหาความขัดแย้งจะลดลงหรือหมดไป หากรัฐบาลจะเปลี่ยนมุมมองจากเรื่องการก่อการร้าย ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น
“เมื่อประชาชนสั่งสมความโกรธและความตึงเครียดเป็นเวลานาน มันจะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า การก่อการร้าย คนพวกนี้พร้อมทำระเบิดพลีชีพ ซึ่งเป็นการกระทำที่สิ้นหวัง ที่คนปกติไม่ทำกัน แต่นั่นไม่ได้เป็นเพราะความแตกต่างด้านศาสนา แต่เป็นความรู้สึกของคนที่ได้รับความอยุติธรรม ที่เขาไม่สามารถกู้แผ่นดินของตนคืนมาได้” ดร.มหาเธร์ กล่าว
“ผมค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าคุณได้มีการปรับเปลี่ยนมุมมองทางการเมืองเกี่ยวกับการก่อการร้าย การก่อการร้ายมันจะน้อยลง หรือแม้แต่หมดไปด้วยซ้ำ อย่าลืมว่าเมื่อกว่าเจ็ดสิบปีมาแล้วเราไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน สมัยที่ประเทศไทยยังเรียกว่าประเทศสยาม มันมีเรื่องความแตกต่างทางศาสนา แต่ไม่มีการก่อการร้าย ไม่มีปัญหาความขัดแย้งเหมือนในตอนนี้ที่เรากำลังเผชิญกันอยู่” ดร.มหาเธร์ กล่าวเพิ่มเติม
ในการเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 24-25 ตุลาคม นี้ ผู้นำทั้งสองประเทศได้มีการหารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยผู้นำประเทศมาเลเซียระบุว่า ยินดีช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้กับประเทศไทยในการแก้ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว โดยเน้นการเจรจาสันติสุขที่ไม่ใช่ความรุนแรง
ในช่วงของการตอบคำถามถึงสาเหตุที่ทำให้เป็นผู้นำที่เป็นที่นิยมของประชาชนได้ยาวนานถึง 22 ปี ดร.มหาเธร์ กล่าวว่า ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย สิ่งที่สำคัญของการเป็นผู้นำของประเทศ คือ ตระหนักว่าประชาชนกำลังคิดอะไรอยู่ ประชาชนรู้สึกอะไร ประชาชนต้องการให้ผู้นำทำอะไรให้พวกเขา ซึ่งผู้นำมาเลเซียกล่าวว่า มันจำเป็นอย่างมากที่ต้องสนองความต้องการของประชาชนให้เป็นจริงให้ได้มากที่สุด และถ้าทำได้แน่นอนว่าประชาชนจะสนับสนุนคุณ
“ผมไม่ได้เป็นผู้นำเผด็จการ ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย สิ่งที่ต้องทำคือไปพบปะประชาชน คุยกับเขา จับมือเขา มันเป็นสิ่งง่ายๆ ที่จะทำให้คุณเป็นที่ชื่นชอบ เป็นที่นิยมของประชาชน และในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย คุณมั่นใจได้เลยว่า นั่นจะเป็นสิ่งที่จะทำให้คุณชนะการเลือกตั้ง ผมนำการเลือกตั้งทั้งหมดห้าครั้ง และทั้งห้าครั้ง ผมได้คะแนน สองในสาม ซึ่งถือว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่ชนะการเลือกตั้ง” ผู้นำประเทศมาเลเซียวัย 93 ระบุ
สำหรับคำถามเกี่ยวกับรักร่วมเพศ นายกฯ มหาเธร์ ย้ำว่าแม้ว่าชาติตะวันตกจะมีอิทธิพลด้านเศรษฐกิจ สังคม ความคิด ต่อประเทศอื่นๆ และเราไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่ว่าสังคมในภูมิภาคอาเซียนต่างก็มีคุณค่าทางวัฒนธรรมของตัวเอง และเราต่างมีเสรีภาพที่จะรักษาคุณค่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ไว้ และเราไม่จำเป็นต้องเลียนแบบชาติตะวันตก
“เราเห็นว่าบางครั้ง คนเอเชียยอมรับคุณค่าของชาวตะวันตกโดยปราศจากคำถาม แน่นอนเรามีการยอมรับด้านเศรษฐกิจ เรามีการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม ที่เราลอกเลียนแบบมาจากประเทศตะวันตก แต่เราต้องลอกเลี่ยนแบบทุกอย่างเลยหรือ ถ้าเขาอยากจะเดินแก้ผ้าไปรอบเมือง เราต้องทำตามไหม แต่นั่นเรามีคุณค่าของเราเอง เราภูมิใจที่เรามีคุณค่าของเราเอง” นายกฯ มหาเธร์ กล่าว