ศาลสั่งจำคุกอดีตเจ้าคณะอำเภอชนแดน 26 ปี ข้อหาฟอกเงิน
2019.04.18
กรุงเทพฯ
ในวันพฤหัสบดีนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาให้จำคุก พระครูกิตติ พัชรคุณ อดีตเจ้าคณะอำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นเวลา 26 ปี ตามความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งได้มาโดยการยักยอกเงินงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่อุดหนุนให้วัดต่างๆ ซึ่งเป็นสำนวนแรกของคดี “ทุจริตทอนวัด” ที่ทางการปราบปรามอย่างหนักหน่วงเมื่อปีที่แล้ว
พระครูกิตติ พัชรคุณ หรือ นายสมเกียรติ ขันทอง อายุ 55 ปี เดินทางมายังศาลพร้อมลูกศิษย์จำนวนหนึ่ง แต่ภายหลังการตัดสินคดี ได้ถูกเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ควบคุมตัวนำตัวไปขอสึก และถูกส่งเข้าฝากขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยนายสมเกียรติ ได้ขอประกันตัวต่อศาลอุทธรณ์ในระหว่างการอุทธรณ์คดี แต่ศาลไม่สามารถพิจารณาได้ทันในวันนี้
ในคดีนี้ พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามทุจริต 1 ยื่นฟ้องพระครูกิตติ พัชรคุณ เจ้าคณะอำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ และเจ้าอาวาสวัดลาดแค (สมณศักดิ์ในขณะนั้น) เป็นจำเลยในความผิดฐานฟอกเงิน โดยสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินนั้น ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา มาตรา 3, 5 (1) (2) (3), 9, 60 เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561
อดีตพระครูกิตติ ร่วมกับนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ วางแผนยักย้ายถ่ายโอนเงินทอนวัดราว 24 ล้านบาทเศษ ซึ่งได้มาจากการเบียดบังเงินงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ หรือ พศ. ที่ทำเรื่องอุดหนุนให้ 12 วัด 13 รายการ จำนวน 28 ล้านบาท โดยเป็นการกระทำธุรกรรมลวง อ้างว่าจะนำไปใช้ในการบูรณะซ่อมแซมวัด หรือเพื่อโครงการศึกษาพระปริยัติธรรม หรือโครงการเผยแผ่กิจกรรมทางศาสนา ซึ่งนายนพรัตน์ ได้หลบหนีไป
“พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ลงโทษ 13 กระทง กระทงละ 3 ปี แต่ทางนำสืบของจำเลยมีประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 คงจำคุก 26 ปี ส่วนคำขออื่นให้ยก” คำพิพากษาระบุ
ศาลได้ระบุรายละเอียดของคดี มีความส่วนหนึ่งว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกับนายนพรัตน์ ที่ได้จัดสรรงบ พศ. มาให้กับ 12 วัด ใน จ.เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ ตาก และชุมพร โดยที่แต่ละวัดไม่ได้ทำคำของบแต่อย่างใด แต่นายนพรัตน์ให้นำบัญชีของวัดมา เพื่อจะโอนเงินให้แต่ละวัดนับล้านบาท โดยเมื่อโอนเงินแล้ว ให้แต่ละวัดโอนเงินกลับส่งคืนให้จำเลย เพื่อส่งต่อให้นายนพรัตน์ อ้างว่าจะนำไปให้วัดจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งที่ไม่มีการนำไปดำเนินการดังกล่าวจริง และได้นำมาแบ่งปันกัน และบางส่วนจำเลยนำมาให้จ่ายส่วนตัว เช่นที่อ้างว่าได้พาพระและสามเณรไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย ซึ่งการกระทำนั้น เป็นการจัดสรรงบโดยมิชอบและหลักเกณฑ์ที่ พศ. ยึดถือปฏิบัติ ซึ่งงบที่อ้างว่าที่จะใช้บูรณะปฏิสังขรวัด จะต้องมีคำขอจากวัด ไม่ใช่ พศ. ดำเนินการจัดสรร
นอกจากนั้น นายสมเกียรติ ขันทอง ยังถูกอัยการฟ้องในคดีอนาจารเด็กหญิง 3 คน อายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งถูกล่อลวงไปยังกุฏิที่พักของ "อดีตพระครูกิตติ" เมื่อช่วงปี 2548-2549 ซึ่งศาลอาญามีกำหนดนัดฟังคำพิพากษาคดีอนาจารเด็ก ในวันที่ 27 มิ.ย. นี้ เวลา 09.00 น.
“ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากความเจริญทางวัตถุที่ทำให้พระบางส่วนและฆราวาสที่เข้ามาหากินกับศาสนา หลงใหลในการบริโภควัตถุ ควรมีกฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรงขึ้นและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง” นายกัษณะ ลาชโรจน์ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์
กวาดล้างเงินทอนวัดครั้งใหญ่
ในปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้กวาดล้างการทุจริตในวงการสงฆ์อย่างหนักหน่วง เช่น กรณีการร่วมฟอกเงินการทุจริตงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนา ราว 150 ล้านบาท ที่เป็นเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม ตั้งแต่ปี 2557 และโครงการศูนย์กลางเผยแพร่พระพุทธศาสนา และโครงการของสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงฯ ของวัดสระเกศฯ จำนวน 63,700,000 บาท
มีคดีที่อัยการสำนักงานคดีปราบปราบการทุจริต ได้ยื่นฟ้อง อดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในวัดเขต กทม. อย่างวัดสามพระยา วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร กับกลุ่มฆราวาสชาย-หญิง รวม 10 ราย ที่ร่วมรับเงิน ฐานฟอกเงินและปฏิบัติหน้าที่่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ไว้แล้วต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง รวม 3 สำนวน คดีหมายเลขดำ อท.196/2561 อท.197/2561 อท.205/2561 โดยทั้งหมดถูกขังในเรือนจำไม่ได้รับการประกันตัวชั้นพิจารณา ซึ่งคดีอยู่ระหว่างรอไต่สวนพยาน
ส่วนกลุ่มอดีตข้าราชการ พศ. ระดับบริหารนั้น ได้แก่ นายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ. กับพวก รวม 4 คน อัยการก็ได้ยื่นฟ้องคดีไว้แล้วต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 เป็นคดีหมายเลขดำ อท.3/2562 ซึ่งคดีอยู่ระหว่างรอไต่สวนพยานเช่นกัน