รมว.ตปท.ออสเตรเลียไม่ระบุกรอบเวลาที่ใช้ในการตัดสินใจให้ที่พักพิงแก่สาวซาอุ

ในวันนี้นางมาริส เพย์น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของออสเตรเลียเดินทางมาไทย เพื่อหารือข้อกังวลเกี่ยวกับการควบคุมตัว นายฮากีม อัลอาไรบี และความเป็นไปได้ในการนำตัวเขากลับออสเตรเลีย และกล่าวถึงการที่ ราฮัฟ โมแฮมหมัด อัล-คูนันได้ขอให้ ยูเอ็นเอชซีอาร์ ช่วยเหลือให้ได้ลี้ภัยไปยังประเทศออสเตรเลียนั้นว่า ไม่สามารถระบุกรอบเวลาที่เจ้าหน้าที่ของออสเตรเลียใช้ในการตัดสินใจว่า จะให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่ ราฮัฟ โมแฮมหมัด อัล-คูนัน อย่างไร โดยจะพิจารณาตามระบบและขั้นตอนของประเทศออสเตรเลีย

ขณะที่ ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ยืนยันว่า ราฮัฟ โมแฮมหมัด อัล-คูนัน หญิงสาวชาวซาอุดิอาระเบีย วัยสิบแปดปี ได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติแล้ว

ในวันนี้ นางมาริส เพย์น รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศออสเตรเลีย เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และใช้โอกาสนี้ในการสอบถามรัฐบาลไทยเกี่ยวกับการควบคุมตัว นายฮากีม นักฟุตบอลสัญชาติบาห์เรน ที่ได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศออสเตรเลียเรียบร้อยแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศบาห์เรน หรือ ส่งต่อไปยังประเทศออสเตรเลีย

โดยระบุว่า รัฐมนตรีทั้งสองประเทศต่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และทางประเทศออสเตรเลียได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องการให้ความช่วยเหลือทางด้านคดีความ และเจ้าหน้าที่ทางการไทย

“เจ้าหน้าที่ของสถานทูตของเราที่นี่ ได้เข้าเยี่ยมนายอัลอาไรบี ในหลายครั้งหลายโอกาส และเรามีส่วนในการให้ความช่วยเหลือด้านคดีความตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม เรามีความกังวลอย่างมากในการที่เขาถูกควบคุมตัว และความเป็นไปได้ในการส่งตัวเขากลับไปยังประเทศบาห์เรน” นางมาริส เพย์น แถลงกับผู้สื่อข่าวที่สถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ยังได้กล่าวถึงการที่ ราฮัฟ ได้ขอให้ ยูเอ็นเอชซีอาร์ ช่วยเหลือให้ได้ลี้ภัยไปยังประเทศออสเตรเลียด้วยว่า การดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนซึ่งไม่สามารถระบุระยะเวลาได้ ขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นก่อน

“มันมีกระบวนการหลายขั้นตอนที่ประเทศออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ ต้องพิจารณา และเราจะพิจารณาตามระบบและขั้นตอนของเรา” นางเพย์น กล่าวเพิ่มเติม

ด้าน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้ สำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ดำเนินการให้สถานะผู้ลี้ภัยกับ นางสาว ราฮัฟ โมแฮมหมัด อัล-คูนัน แล้ว แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะส่งไปลี้ภัยไปยังประเทศใด ขณะที่พ่อและพี่ชายของราฮัฟ ได้พยายามคัดค้านการขอลี้ภัย แต่ขณะนี้ทุกอย่างอยู่ภายใต้การดำเนินการของ ยูเอ็นเอชซีอาร์

“ขณะนี้ ยูเอ็นเอชซีอาร์ได้ให้สถานะผู้ลี้ภัยเรียบร้อยแล้วกับคุณราฮัฟ สถานทูตซาอุฯ ก็ทราบหมดแล้ว... ต่อจากนี้ต้องตามไปดูว่าการเดินทางไปประเทศที่สาม ยูเอ็นเอชซีอาร์จะส่งตัวไปประเทศไทย และเขารับหรือเปล่า” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวกับผู้สื่อข่าว

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ยังเปิดเผยด้วยว่า พ่อและพี่ชายของราฮัฟ ได้เข้าพบผู้แทนของยูเอ็นเอชซีอาร์ และตนเอง เพื่อขอชี้แจงกรณีที่ราฮัฟแจ้งผ่านโซเชียล เรื่องการบังคับให้แต่งงาน และการใช้กำลังทำร้ายว่า ไม่เป็นความจริง แต่ให้อิสระเต็มที่ขณะที่อยู่ที่บ้านเกิด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากความน้อยใจที่ครอบครัวมีลูกถึงสิบคน

ทั้งนี้ พ่อของราฮัฟ ขอให้ทางผู้บัญชาการสตม. ประสาน ราฮัฟ ยอมพบกับครอบครัว พร้อมระบุว่า ขณะนี้ภรรยาของตน ซึ่งเป็นแม่ของราฮัฟ ป่วยหนักมาก เพราะความเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้น และครอบครัวขอปฏิเสธการขอลี้ภัยของ ราฮัฟ พร้อมขอให้เจ้าหน้าที่ประสานให้ ราฮัฟ ยอมกลับบ้านพร้อมกับพ่อและพี่ชาย ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในประเทศไทยเพื่อรอดูว่า ราฮัฟ จะถูกส่งไปลี้ภัยที่ประเทศใด

“พ่อและพี่ชายของ คุณราฮัฟ รับทราบจากสถานทูตซาอุฯ แล้วว่า คุณราฮัฟได้สถานะเป็นผู้ลี้ภัยแล้ว แต่ขณะนี้ยังอยู่ที่ประเทศไทย รอดูว่าลูกสาวจะไปประเทศไหนต่อไป” ผู้บัญชาการสตม. กล่าวเพิ่มเติม

ด้านนางสาว บุษฎี สันติพิทักษ์ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีการพิจารณาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน นาย ฮากีม อัลอาไรบี นักฟุตบอลสัญชาติบาห์เรน และการขอลี้ภัยของ นางสาวราฮัฟ ว่าเป็นสองเรื่องที่มีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องของนาย อัล-อาราบี เป็นเรื่องที่ทางการบาห์เรนส่งคำขอมายังรัฐบาลไทยให้ส่งตัวกลับไปในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ในขณะที่กรณีของนางสาวราฮัฟ เป็นเรื่องของยูเอ็นเอชซีอาร์ ที่ประเทศไทยเป็นเพียงผู้ประสานงานเท่านั้น

“กรณีของ นายฮากีม อัลอาไรบี ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุดและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งแน่นอนว่าเราได้รับคำร้องขอจากรัฐบาลบาห์เรนให้ส่งตัวเขากลับไปในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน และขณะนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” นางบุษฎี กล่าว

“ในขณะที่เรื่องของนางสาวราฮัฟ นั้น ประเทศไทยเป็นเพียงผู้ประสานงานให้คุณราฮัฟ ยูเอ็นเอชซีอาร์ พร้อมด้วยผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และเราได้ช่วยเปิดวงเจรจาระหว่างบิดาและพี่ชายของนางสาวราฮัฟด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของยูเอ็นเอชซีอาร์ในการส่งไปประเทศที่สาม... อย่างไรก็ตามกรณีนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวซึ่งทางการไทยทำได้เป็นเพียงผู้รับข้อมูลเท่านั้น” นางบุษฎีกล่าวเพิ่มเติม