นักการเมืองหญิงไทยต้องต่อสู้อย่างหนักในเวทีการเมืองที่ผู้ชายครองพื้นที่
2019.03.07
กรุงเทพฯ
นักการเมืองสตรีสามท่าน คงมีรอยยิ้มพรมอยู่บนใบหน้าที่งดงาม ก่อนที่ทั้งสาม ได้กล่าวยืนยันในวงเสวนาเรื่องผู้หญิงไทยกับการเมือง ผู้หญิงต้องต่อสู้อย่างหนักในสังเวียนการเลือกตั้งที่มีผู้ชายเป็นผู้ครองพื้นที่เป็นส่วนใหญ่ อันเป็นเรื่องที่เป็นข้อกังขากันอยู่ทั่วไป
ผู้คนกล่าวว่า การเมืองเป็นเรื่องสกปรกสำหรับ “ใบหน้างาม ๆ” สตรีทั้งสามบอกผู้สื่อข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย เมื่อคืนวันพุธ และในวันถัดมา ศาลรัฐธรรมนูญของไทยสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ ฐานกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จากกรณีเสนอชื่อสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 มีนาคม
“คนคิดว่าผู้หญิงไม่ควรเล่นการเมือง เพราะการเมืองไทยสกปรกและอันตราย โดยเฉพาะเมื่อผู้หญิงคนนั้นสวย มีฐานะดี และมีทางเลือกอื่น” พรรณิการ์ วานิช โฆษกหญิงของพรรคอนาคตใหม่กล่าวในระหว่างการอภิปรายเป็นคณะ ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ในกรุงเทพฯ
“คนเชื่อว่าการเมืองเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่เข้มแข็งและเหมาะสมที่จะนำประเทศ” พรรณิการ์ ผู้กำลังลงสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎร กล่าว
ตามรายงานของ FCCT จากบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีประมาณ 70 คน มีผู้หญิงเพียง 7 คนเท่านั้น หนึ่งในรายชื่อในบัญชีนั้นเป็นบุคคลข้ามเพศ รายงานนั้นกล่าว ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแคนดิเดตที่เป็นชายมีจำนวนมากกว่าแคนดิเดตผู้หญิงเป็นอย่างมาก แม้สัดส่วนประชากรของประเทศไทยจะเป็นผู้หญิงร้อยละ 51 ก็ตาม
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เกือบจะเป็นสตรีที่มีสถานะสูงสุดในบรรดานักการเมืองที่เข้าแข่งขันในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่พรรคไทยรักษาชาติประกาศเสนอชื่อทูลกระหม่อมฯ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ แผนการเข้าสู่การการเมืองก็จบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระบรมราชโองการว่า เป็น “การกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง”
หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่เป็นชายคนสำคัญ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน และอดีตผู้บัญชาการทหารบก ผู้นำรัฐประหารโค่นรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อห้าปีก่อน นางสาวยิ่งลักษณ์ที่หนีโทษจำคุก เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย รัฐบาลของเธอมีรัฐมนตรีหญิงจำนวนสามคน
คุณพรรณิการ์ และนักการเมืองหญิงอีกสองคนจากพรรคคู่แข่ง คือ คุณธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ พรรคเพื่อไทย และ คุณศิริภา อินทวิเชียร พรรคประชาธิปัตย์ โอดครวญเกี่ยวกับอคติแบบเหมารวมที่มีต่อผู้หญิงในประเทศไทย
“ผู้ออกเสียงลงคะแนนทั่วไปมีความคิดเหมารวมว่าผู้หญิงไม่ควรเป็นผู้นำ เราควรเปลี่ยนความคิดนี้ และสนับสนุนให้ผู้หญิงเล่นการเมือง” ศิริภา โฆษกหญิงประจำพรรค ปชป. กล่าว
“เรามีความเท่าเทียมกันในทางการเมือง” ศิริภากล่าว “แต่เมื่อดูที่ตัวเลขแล้ว มันไม่เท่าเทียมกัน”
ตามข้อมูลจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในจำนวน 500 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรของไทย มีผู้หญิงเพียง 79 คน ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรในปี 2554
ผู้หญิงในประเทศไทยดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุดและผู้บริหารสูงสุดทางการเงินขององค์กรมากกว่าหนึ่งในสามขององค์กรทั้งหมดในประเทศ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขโดยเฉลี่ยของโลกมาก ตามข้อมูลจาก thailandbusinessnews.com
รายงานดังกล่าวระบุว่า แต่ในเวทีการเมือง สตรีไทยมีจำนวนน้อยในสภา เพราะอุปสรรคทางวัฒนธรรมยังคงมีอยู่มากในประเทศที่เกิดการรัฐประหารหรือความพยายามปฏิวัติมากว่า 20 ครั้ง นับตั้งแต่ที่ประเทศเปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขในปี พ.ศ. 2475
ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2549 ผู้ออกเสียงลงคะแนนร้อยละ 52 หรือ ราว 12,000,000 คน เป็นเพศหญิง แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงร้อยละ 8.7 เท่านั้นที่เป็นผู้หญิง รายงานดังกล่าวระบุ
ธิดารัตน์ แห่งพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าผู้หญิงควรได้รับการฝึกให้เป็นผู้นำในสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ผู้หญิงเก่งได้
“ควรมีการฝึกอบรมให้ผู้หญิงมีทักษะที่ดีขึ้น” ธิดารัตน์กล่าว “เปลี่ยนการรับรู้ของสังคมให้หันมาสนับสนุนผู้หญิง”
พรรณิการ์ อดีตพิธีกรรายการโทรทัศน์ กล่าวว่านักการเมืองหญิงไม่ควรสนใจแต่เฉพาะประเด็น “เบา ๆ” เช่น การศึกษาหรือสาธารณสุข แต่ควรสนใจในหัวข้อที่จริงจังกว่า เช่น การปฏิรูปกองทัพ
แต่เธอยอมรับว่า ในวัฒนธรรมที่ชายเป็นใหญ่และที่ไม่สนับสนุนให้ผู้หญิงเล่นการเมือง การจะโน้มน้าวให้คนมาลงคะแนนให้ผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องยาก
“พวกเขาเพียงอยากเห็นหน้าสวย ๆ เท่านั้น” เธอกล่าว