คนสองสัญชาติไทย-มาเลย์ ต้องเลือกสัญชาติเดียวเท่านั้น: ผบ.ตร.มาเลเซีย
2018.11.14
กรุงเทพฯ

ในวันนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประเทศไทย และมาเลเซีย ลงนามความร่วมมือในมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมระหว่างสองประเทศ โดยเห็นพ้องในการยกระดับความเข้มข้นของจุดตรวจตามแนวชายแดน และเพิ่มมาตรการในการลาดตระเวน เพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรสองสัญชาติที่หนีการจับกุมจากประเทศของตนเอง
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ประเทศไทย และ โมฮัมหมัด ฟูซี บิน ฮารูน ผบ.ตร.ประเทศมาเลเซีย ลงนามความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม 9 ด้าน ได้แก่ การก่อการร้าย การลักลอบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การลักลอบค้าอาวุธ การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตามแนวชายแดน ความคืบหน้าในการส่งของกลาง (ยานพาหนะที่ถูกโจรกรรม) ระหว่างสองประเทศ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจและคอมพิวเตอร์ การกระทำความผิดในน่านน้ำและการกระทำอันเป็นโจรสลัด รวมถึงเรื่องการพัฒนาบุคลากร การฝึกอบรมด้านต่างๆ
ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทั้งสองประเทศ เห็นตรงกันว่าการยกระดับมาตรการด้านการรักษาความปลอดภัยตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ สามารถป้องกันการการกระทำควาผิดที่อาจะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อกังวลเกี่ยวกับบุคคลสองสัญชาติที่กระทำความผิดในประเทศหนึ่งแล้วข้ามชายแดนไปหลบซ่อนอีกประเทศหนึ่ง เพื่อหนีการจับกุม
“มันเป็นปัญหาที่เราพยายามแก้ไขมาโดยตลอด เช่น อยู่ประเทศไทยชื่อ สมชาย ไปอยู่มาเลเซียใช้ชื่อ ดาโต๊ะ หรือ อะไรก็แล้วแต่ ทำให้เขาหาไม่เจอ มันก็เป็นปัญหาเหมือนกัน เพราะมันยากต่อการทำงานของเขาเหมือนกัน แต่ที่ผ่านมาเราก็ได้รับความร่วมมือจากทางมาเลเซียมาโดยตลอด” พล.ต.อ.จักรทิพย์ แถลงต่อผู้สื่อข่าว
ขณะที่ โมฮัมหมัด ฟูซี บิน ฮารูน ผบ.ตร.มาเลเซีย ยอมรับว่า ปัญหาเรื่องอาชญากรสองสัญชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และเป็นปัญหาใหญ่สำหรับสองประเทศ ที่ต้องเร่งดำเนินการ สำหรับมาตรการใหม่ในการจัดการกับอาชญากรสองสัญชาตินั้น ทางมาเลเซียจะร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการจับกุมอาชญากรเหล่านั้น แล้วส่งกลับไปดำเนินคดีในประเทศที่กระทำความผิด
“เราจำเป็นจะต้องให้เขาเลือกว่าเขาจะถือสัญชาติไหน ให้เลือกถือเพียงหนึ่งสัญชาติเท่านั้น โดยให้ยกเลิกอีกสัญชาติหนึ่ง แล้วดำเนินคดีตามกฎหมายประเทศที่บุคคลสัญชาตินั้นๆ ถือ ซึ่งเราหวังว่าจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ในเร็ววันนี้ อาจจะเดือนหน้า หรือ ปีหน้า” ผบ.ตร.มาเลเซีย กล่าว
“เช่นเดียวกับอาชญากรที่กระทำความผิดในประเทศมาเลเซีย และพยายามหนีการจับกุมมากบดานอยู่ในประเทศไทย ที่ผ่านมาเราได้ทำการระบุตัวบุคคลผู้กระทำความผิดเหล่านั้นไปบ้างแล้ว และได้แจ้งให้ตำรวจไทยดำเนินการจับกุม และส่งกลับไปดำเนินคดีในประเทศมาเลเซีย ซึ่งความร่วมมือลักษณะนี้จะกระทำต่อเนื่องต่อไป” ผบ.ตร.มาเลเซีย กล่าวเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทั้งสองประเทศ ยังได้หารือกัน ในเรื่องกลุ่มก่อการร้ายทางจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย รวมถึงการลักลอบค้าอาวุธ การลักลอบค้ายาเสพติด และการค้ามนุษย์ ว่าได้มีปฏิบัติการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นตามแนวชายแดนของสองประเทศ และยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ยังสามารถควบคุมสถานการณ์การค้าอาวุธอยู่ได้
“เรื่องไอเอส เราระวังป้องกันอยู่แล้ว เชื่อว่า สมาชิกไอเอสจากมาเลเซียที่พยายามจะเข้ามายังประเทศไทยมีน้อยมาก เต็มที่ของเราเป็นแค่ทางผ่าน เป็นที่พักพิงชั่วคราว ไม่ได้มีตัวตนมาอยู่จริง ซึ่งเรื่องนี้เรามีการหารือกันมาตลอด และยืนยันว่าเป็นเรื่องภายใน ส่วนที่อยู่ในประเทศเรามันเป็นแค่ผู้ก่อการร้าย” พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าว
“เราได้มีการหารือในเรื่องการลักลอบค้าอาวุธ กลุ่มก่อการร้ายไอเอส บุคคลสองสัญชาติ และการลักลอบค้ามนุษย์ และเรามั่นใจว่าเราสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ จากความสัมพันธ์อันดีกับตำรวจไทย” ผบ.ตร.มาเลเซีย กล่าว
นอกจากนี้ ผบ.ตร.มาเลเซีย ได้กล่าวขอบคุณทางสำนักงานตำรวจประเทศไทยที่ได้ช่วยในการติดตามจับกุมอาชญากรสัญชาติมาเลเซีย และดำเนินการส่งกลับประเทศมาเลเซีย รวมถึง การส่งกลับของที่ถูกโจรกรรมจากประเทศมาเลเซีย โดยได้ระบุถึงรถยนต์หลายคันที่ถูกขโมยมาจากประเทศมาเลเซีย ที่ถูกจับกุม ยึด และส่งกลับประเทศมาเลเซียมาโดยตลอด
การประชุมระหว่างตำรวจไทย มาเลเซีย ระดับบริหาร จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยสองฝ่ายจะสลับกันเป็นเจ้าภาพ โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งที่ 25 วัตถุประสงค์สำคัญเพื่อพบปะหารือและกำหนดมาตราการในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมด้านต่างๆ ร่วมกัน