ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาจฟ้องหมิ่นประมาทต่อ พล.ต.ต. ปวีณ กรณีให้ข่าวพาดพิง สตช.
2015.12.11
พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจ กล่าวแก่ผู้สื่อข่าวในวันศุกร์ (11 ธ.ค. 2558) นี้ว่า การที่พลตำรวจตรีปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา ให้ข่าวต่อสื่อมวลชนต่างประเทศ โดยมีการพาดพิงถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารไปในทางที่ไม่เหมาะสมนั้น ตนกำลังพิจารณาฟ้องร้องดำเนินคดี หากว่าคำพูดพาดพิงถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข่าข่ายหมิ่นประมาท
ทั้งนี้ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา ได้เดินทางไปยังประเทศออสเตรเลียเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และได้ขอลี้ภัยที่นั่น โดยเมื่อวันพุธนี้ รายการ 7:30 ของสถานีโทรทัศน์ ABC ของออสเตรเลีย ได้ออกอากาศรายงานการขอลี้ภัยของ พล.ต.ต.ปวีณ ที่เจ้าตัวให้เหตุผลว่า กลัวจะได้รับอันตรายจากขบวนการค้ามนุษย์ที่มีเครือข่ายกว้างขวางอยู่ในภาคใต้ และมีการพาดพิงถึงเจ้าหน้าทหาร-ตำรวจ
“ผมก็ไม่ทราบเหตุผลของท่านนะ ว่าทำไมท่านต้องขอลี้ภัยขนาดนั้น เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แล้วท่านก็ลาออกแล้ว ผมไม่ทราบเจตนารมณ์ของท่าน” พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในกรุงเทพ
“ทุกวันนี้ เล่นกับสื่อเดี๋ยวสื่อไทย เดี๋ยวสื่อนอก ท่านชอบไปบอกว่ามีการแทรกแซงจากรัฐบาลบ้าง จากนายตำรวจระดับสูงบ้าง ก็ขอให้ระบุชื่อมาเลย จะได้ฟ้องถูกตัว อย่าไปบอกว่าทหารเลวตำรวจเลว” พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวเพิ่มเติม
“ทหารก็เสียหาย ตำรวจเองก็เสียหาย แปลออกมาว่าทหารเลว ตำรวจเลว” พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวการให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ต.ปวีณต่อสถานีโทรทัศน์เอบีซี
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะดำเนินการฟ้องหมิ่นประมาทต่อ พล.ต.ต.ปวีณ หรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ตอบว่า ตนได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้พิจารณาในเรื่องนี้
“ก็กำลังดูอยู่ ถ้าผิดผมก็แจ้งท่านศรีวราห์ดำเนินคดี และดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา” พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว
พล.ต.ต. ปวีณ ขอลี้ภัยในออสเตรเลีย
พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา ได้เดินทางไปยังประเทศออสเตรเลีย เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และได้ขอลี้ภัยที่นั่น และในวันพุธ ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ 7:30 ของสถานีโทรทัศน์ ABC ของออสเตรเลีย
จากนั้น พล.ต.ต.ปวีณ ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์แก่ทีวีช่องสามของไทยว่า ตลอดระยะเวลาห้าเดือนที่ผ่านมาได้มีการกดดันข่มขู่คุกคามจากหลายสาย ไม่ให้พยายามดำเนินคดี และได้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา จนทำให้ตนต้องตัดสินใจลาออกจากราชการ
“โดยส่วนตัวของผมโดนนายทหารโทรมาเตือน เพื่อให้หยุดทำ เพราะมันอันตราย มีการบีบหลายๆ อย่างไม่ให้ออกหมายจับทหาร” พล.ต.ต. ปวีณกล่าว
“มีการกลั่นแกล้งย้ายไปอยู่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เหมือนกับซ้ำเติม และต้องการล็อคเป้า เพื่อให้ผมมีอันตรายต่อชีวิต” พล.ต.ต. ปวีณกล่าว
ในเรื่องการโยกย้ายไปประจำสามจังหวัดชายแดนใต้นั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ตนเองในฐานะผู้บังคับบัญชา เป็นผู้รับผิดชอบคนเดียว โดยได้พิจารณาตามความเหมาะสม
“ผมดูจากประวัติท่านเคยสมัครใจไป (สามจังหวัดชายแดน) ท่านมีความรู้เรื่องงานสอบสวน ท่านมีความรู้เรื่องโรฮิงญาพื้นที่ต่อเนื่อง บางครั้งท่านพูดท่านพูดไม่หมด ทำให้สังคมสับสน” พล.ต.อ. จักรทิพย์ กล่าว
ในเรื่องนี้ พล.ต.ต.ปวีณ สามารถร้องเรียนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ หากเห็นว่าการโดนย้ายไม่เป็นธรรมนั้น พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวว่า ตนคงจะมีอันตรายก่อนที่จะสามารถทำอย่างนั้นได้
“การที่ผมไปอยู่ในสถานที่เสี่ยงภัยในส่วนนั้นมันคงไม่รอให้ผมมีโอกาสได้ร้องเรียนหรอกครับ และก็ไม่มีหลักประกันด้วยว่า ผมจะมีความปลอดภัย” พล.ต.ต.ปวีณกล่าว
นับตั้งแต่การขุดค้นพบเหยื่อค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา 32 ศพ บนเทือกเขาแก้ว ในปาดังเบซาร์ เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พล.ต.ต.ปวีณ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ได้ถูกแต่งตั้งเป็นหัวหน้าชุดการสืบสวนสอบสวน ที่นำไปสู่การออกหมายจับบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้ได้ถึง 153 ราย (ไม่นับรวมผู้ต้องหาที่เสียชีวิตไปแล้วสองราย) ยังหลบหนีอีก 62 ราย
ในตอนกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพเหนือ ถนนรัชดาภิเษก ได้ตรวจสอบพยานหลักฐานในคดีการมนุษย์ชาวโรฮิงญา เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของพยานหลักฐาน และตัดจำนวนพยานให้น้อยลง เพื่อให้การตัดสินคดีเสร็จสิ้นได้ ภายในสิ้นปี 2559 โดยที่ พล.ต.ต.ปวีณ ได้กล่าวกับศาลว่า พร้อมที่จะมาเป็นพยานต่อศาล แม้ว่าก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.ปวีณ ได้สิ้นสุดการเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้แล้วก็ตาม
ได้มีการนำตัวผู้ต้องหาไปขึ้นศาล 88 รายแรก (แยกฟ้องอีกสามราย) ในจำนวนนั้น รวมถึงนายทหารยศสูง พลโทมนัส คงแป้น นักการเมืองท้องถิ่น นักธุรกิจ และผู้ร่วมขบวนการรายย่อยอีกมาก