พสกนิกรชาวไทยทั่วทั้งประเทศหลั่งน้ำตาอาลัย ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร อย่างเป็นทางการ ในตอนดึกของวันพฤหัสบดี (26 ตุลาคม 2560) นี้ ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
ในวันนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 เสด็จในการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยเริ่มจากการอัญเชิญพระบรมโกศทองใหญ่ ทรงร่วมในริ้วขบวนพระราชอิสริยยศ ซึ่งเคลื่อนจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเข้าสู่พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
โดยสองข้างทางมีประชาชนนั่งรอส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเต็มพื้นที่ หลายคนสะอื้นไห้ น้ำตานองหน้าระหว่างก้มลงหมอบกราบลงกับพื้นปูนที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 วางไว้บนผืนผ้าที่ปูทับบนพื้นถนนเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูง
เจ้าหน้าที่ตำรวจ ข้าราชการ จิตอาสา นั่งพับเพียบหมอบกราบตลอดเส้นทาง ขณะที่ริ้วขบวนผ่านหน้า ทหารในชุดสีประจำสังกัด ในเครื่องประดับเต็มยศ ยืนตรงก้มหน้าแสดงความไว้อาลัยต่อการจากไปของพระเจ้าแผ่นดินอันเป็นที่รัก
เจ้าหน้าที่ประมาณการว่ามีประชาชนมากกว่าสามแสนคน ที่เข้าร่วมในพระราชพิธี โดยในจำนวนนี้มีเพียง 1.5 แสนคน ที่สามารถเข้าไปถึงในมณฑลพิธีท้องสนามหลวง เพื่อนั่งชมริ้วขบวนสองข้างทางอย่างใกล้ชิด โดยอีกกว่าสองแสนคน ทำได้เพียงนั่งชมริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมโกศผ่านจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่ติดตั้งไว้ภายนอกมณฑลพิธีเท่านั้น แต่มิได้ทำให้ประชาชนผู้จงรักภักดีท้อถอย หลายคนเดินทางมาจากต่างประเทศ หลายคนมาปักหลักค้างแรม ตากแดด ตากฝน เฝ้ารอเพื่อจะได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินในดวงใจเป็นครั้งสุดท้าย
ในช่วงเย็น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 เสด็จทรงเป็นประธานในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีประมุขและตัวแทนรัฐบาลจากต่างประเทศขึ้นถวายดอกไม้จันทน์ เพื่อใช้ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพอย่างเป็นทางการในเวลา 22:30 น.
ประชาชนยังคงเฝ้ารอเวลาในการส่งเสด็จรัชกาลที่ 9 สู่สวรรคาลัย หลายคนยังไม่ได้ลุกจากที่นั่งไปไหนมาเป็นเวลากว่า 3 วันแล้ว แพทย์สนาม พยาบาลอาสา หน่วยกู้ชีพ เข้าช่วยเหลือคนชรา คนพิการ แม้แต่คนหนุ่มสาวจากอาการป่วยจากการนั่งตากฝน และ ทนร้อนแดดหลายคืนหลายวันติดต่อกัน แต่พวกเขายังไม่ขอออกจากพื้นที่ แต่ยืนยันในการเฝ้าส่งเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 อยู่ที่เดิม
“รักในหลวง ร.9 มาก ท่านเสียสละความสุขสบายส่วนตัว และทำงานเพื่อคนไทยมาตลอด เพียงเพื่อให้คนไทยได้อยู่ดีกินดี เรามาส่งเสด็จแค่นี้ ถึงแม้จะลำบากยังไงก็ต้องมา เพื่อส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยครั้งสุดท้าย มาบอกท่านว่าเราจะเดินตามรอยเท้าท่านและเป็นคนดีตลอดไป” นางสุนีย์ โยคะกุล ชาวจังหวัดนนทบุรี อายุ 51 ปี กล่าวต่อเบนาร์นิวส์
ในขณะที่ประชาชนจำนวนหนึ่งเข้ามาสมัครเป็นจิตอาสาในงานพระราชพิธี ตั้งแต่งานที่ต้องใช้ฝีมือ เช่น งานดอกไม้สด จนกระทั่งถึงการดูแลผู้มาร่วมงาน แจกจ่ายน้ำ อาหาร เก็บขยะ ทำความสะอาด อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เพราะทำงานถวายพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย
“มาเป็นจิตอาสาเพราะอย่างทดแทนคุณแผ่นดิน เราทำแล้วเรามีความสุข มีความภูมิใจ เราเห็นในหลวงท่านเก่ง ท่านทำทุกอย่าง สร้างเขื่อน ทำฝนเทียม พัฒนาดอย พอเห็นริ้วขบวนแล้ว ก็ตื้นตันน้ำตาจะไหล เราต้องมาทำตรงนี้ เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะได้ทำเพื่อท่าน” นางอนงค์กล่าว

พสกนิกรที่เฝ้ารอตามทางร่ำไห้ ขณะริ้วขบวนพระราชพิธีพระบรมศพ เ ดำเนินผ่าน วันที่ 26 ตุลาคม 2560 (นนทรัฐ ไผ่เจริญ/เบนาร์นิวส์)
ทั้งนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้จัดให้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ณ พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ซึ่งเคยใช้เป็นสถานที่จัดพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์แห่งราชวงศ์จักรี ในอดีตกาลตามโบราณราชประเพณี ซึ่งพระราชพิธีต่างๆเป็นไปตามพระราชวินิจฉัยในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ที่ทรงให้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคม 2560
ในการนี้ มีพระราชอาคันตุกะที่เป็นพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์จาก 15 ประเทศ เสด็จฯ มาร่วมในพระราชพิธีฯ รวมทั้ง นายเจมส์ แมททิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา และผู้แทนจากรัฐบาลต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 42 ประเทศ
โดยประชาชนที่ไม่สามารถเดินทางเข้ามาร่วมงานพระราชพิธี ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง รัฐบาลจัดกิจกรรมแสดงความอาลัย และถวายดอกไม้จันทน์ ที่พระเมรุมาศจำลองในตัวจังหวัด และพื้นที่อื่นๆ ในกรุงเทพมหานคร อีก 84 แห่ง และได้จัดซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ ในตัวอำเภอต่างๆ ทั่วประเทศอีก 878 ซุ้ม

ประชาชนเข้าแถวเพื่อวางดอกไม้จันทน์ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ณ พระเมรุมาศ จำลอง ในจังหวัด นราธิวาส 26 ต.ค. 2560 ( เอเอฟพี)
พระราชประวัติโดยย่อ
พระบาทสมเด็จปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาจูเซทส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา พระองค์ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่สามในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาลย์ ตะละภัฏ ในขณะนั้น (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธย เป็น สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี)
ในวันที่ 13 ตุลาคม 2559 สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จสวรรคตด้วยพระอาการสงบ ในเวลา 15.52 นาฬิกา ด้วยพระชนมายุ 89 พรรษา หลังจากที่คณะแพทย์โรงพยาบาลศิริราชถวายการรักษามาตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2557
ต่อมาในวันที่ 1 ธันวาคม 2559 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาท ทรงตอบรับเสด็จขึ้นครองราชย์ตามคำทูลเชิญของนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปฎิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาโดยทรงใช้พระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทั้งนี้ ยังไม่ได้มีการกำหนดวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีพระบรมศพ
พระราชพิธีพระบรมศพ จัดขึ้นตามโบราณราชประเพณีที่มีความเชื่อตามคติพราหมณ์ว่า พระมหากษัตริย์คือสมมุติเทพ เมื่อสวรรคตแล้วจึงเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์ ที่มีเขาพระสุเมร หรือเขาสิเนรุ เป็นศูนย์กลาง จึงมีการสร้างพระเมรุมาศ เพื่อการถวายพระเพลิงพระบรมศพ ประหนึ่งการส่งเสด็จกลับคืนสู่สวรรค์
ตามหมายกำหนดการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 วันที่ 25 ตุลาคม เป็นการพระราชกุศลออกพระเมรุ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ในวันนี้ ที่ 26 ตุลาคม เป็นการอัญเชิญพระบรมศพขึ้นประดิษฐานบนพระเมรุมาศ ด้วยขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่หนึ่งถึงสาม เพื่อการถวายพระเพลิงจริง ในเวลาหลังสี่ทุ่มครึ่ง
ริ้วขบวนแรก เป็นการอัญเชิญพระบรมโกศทองใหญ่ โดยพระยานมาศสามลำคาน ออกจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ไปยังบริเวณหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม จากนั้นจึงอัญเชิญพระบรมโกศทองใหญ่ขึ้นประดิษฐานในบุษบกพระมหาพิชัยราชรถ อันเป็นริ้วขบวนที่สองเพื่อดำเนินไปจนถึงพระเมรุมาศในสนามหลวง มีการอัญเชิญพระบรมโกศทองใหญ่ลงจากพระมหาพิชัยราชรถ ขึ้นประดิษฐานราชรถปืนใหญ่ เพื่อวนอุตราวัฏรอบพระเมรุมาศสามรอบ (วนทวนเข็มนาฬิกา) แล้วจึงอัญเชิญพระบรมโกศทองใหญ่ขึ้นสู่พระจิตกาธาน (เชิงตะกอน) บนพระเมรุมาศ เพื่อการถวายพระเพลิง
ในวันที่ 27 ตุลาคม เป็นการเก็บพระบรมอัฐิ ณ พระเมรุมาศ ในวันที่ 28 งานพระราชกุศลพระบรมอัฐิ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท วันที่ 29 ตุลาคม การอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ พระวิมาน บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ภายในพระบรมหาราชวัง และ การบรรจุพระบรมราชสรีรางคาร ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และวัดบวรนิเวศน์วรวิหาร
ทั้งนี้ รัฐบาลกำหนดให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชน ไว้ทุกข์ตั้งแต่วันที่ 13 ถึง 29 ตุลาคม 2560 โดยให้ออกทุกข์ ปลดป้ายแสดงความอาลัย ในวันที่ 30 ตุลาคม 2560
โดยหลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีฯ รัฐบาลจะจัดนิทรรศการพระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ ให้ประชาชนได้เข้าชมและศึกษาถึงพระราชพิธีอันสำคัญนี้ ในระหว่างวันที่ 2 ถึง 30 พฤศจิกายน ศกนี้ โดยรัฐบาลคาดว่าจะมีผู้เข้าชมกว่าสามล้านคน

หญิงไทยไหว้สักการะ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ใน วันถวายพระเพลิงพระบรมศพ วันที่ 26 ตุลาคม 2560 ที่ วัดเช ตวัน วัดไทย ในเมืองเปตาลิง จายา นอกกรุงกัวลาลัมเปอร์ ( ฮาดี อัซมี/เบนาร์นิวส์)