สุดารัตน์ มั่นใจ ไม่จับมือ พปชร. ตั้งรัฐบาล

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2019.03.15
กรุงเทพฯ
190315-TH-pheuthai-party-1000.jpg คุณหญิงสุดารัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่หาเสียงในจังหวัดสุรินทร์ วันที่ 15 มีนาคม 2562
ภาพจาก พรรคเพื่อไทย

ในวันนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าจะไม่จับมือพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง หลังหลังจากที่ นายกฯ ส่งคลิปปราศรัยไปยังเวทีพรรคพลังประชารัฐ “ขอให้ประชาชนอย่าลังเลใจ ขอให้ก้าวไปกับผม” ขณะที่นายธนาธร ระบุว่า การส่งกระทำดังกล่าวไม่สง่างาม

จากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ว่า ตนพร้อมยอมรับผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น และยินดีจะจับมือกับพรรคการเมืองอื่นเพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสมนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กล่าวว่า ในสภามีสองฝ่าย คือฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล แต่พรรคเพื่อไทยจะไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อจัดตั้งรัฐบาล เพราะเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาทำให้ประเทศเสียหายและทำให้เศรษฐกิจไม่ดีขึ้น นอกจากนี้ การเขียนกติกาการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม แสดงให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการสืบทอดอำนาจเผด็จการอีกด้วย

“ถ้าพรรคพลังประชารัฐได้เสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองอื่นตั้งรัฐบาล ทางพรรคเพื่อไทยพร้อมเป็นฝ่ายค้านทันที” คุณหญิง สุดารัตน์ กล่าวกับสื่อมวลชน ขณะลงพื้นที่หาเสียง ในจังหวัดสุรินทร์

ทางด้าน นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ หนึ่งในพรรคย่อยในเครือพรรคเพื่อไทย ยังได้แถลงในวันนี้ว่า จะนำตัวอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน และให้ฝ่ายที่เป็นกลางทำการสอบสวนเรื่องคดี ทั้งนี้ นายทักษิณ ถูกศาลตัดสินจำคุกในคดีซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก เป็นเวลาสองปี แต่ได้หลบหนีคดีไป

ทั้งนี้ เมื่อช่วงค่ำของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา พรรคพลังประชารัฐได้เปิดคลิปวิดิโอปราศรัยของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคฯ ที่เวทีปราศรัยใหญ่ ในจังหวัดสุโขทัย โดยพล.อ.ประยุทธ์ ระบุถึงเหตุผลที่ตัดสินใจตอบรับเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐว่า ไม่ใช่เป็นความต้องการส่วนตัว แต่มองเห็นโอกาสของประเทศชาติในการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และพรรคพลังประชารัฐยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก เกิดจากการรวมตัวของคนที่มีความหลากหลายทางอุดมการณ์ ความคิด แต่พร้อมจะทำงานร่วมกันเพื่อประเทศชาติ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา ห้าปี ได้ทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศที่หมักหมมมาเป็นระยะเวลานานได้เป็นผลสำเร็จในหลายด้านแล้ว และหากว่าได้มีโอกาสได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จะทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

“ขอให้พวกเราคิดว่าการกระทำในวันนี้ จะเป็นสิ่งบ่งบอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ดังนั้น ทำวันนี้เพื่อวันข้างหน้าที่ดีกว่า ทำเพื่ออนาคตของประเทศชาติของลูกหลานของเราทุกคน ที่จะเติบโตมีอนาคตสดใส ในวันหน้า ขออย่าลังเลใจ ขอให้คุณกล้าไปกับผม" ตอนหนึ่งของคลิปคำปราศรัยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้พล.อ.ประยุทธ์ สวมหมวก สามใบ คือ นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ทำให้การปราศรัยที่เกิดขึ้นไม่สง่างาม

“เราขอยืนยันข้อเรียกร้องเหมือนเดิมให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเลือก ต้องทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้สง่างาม และเท่าเทียม เป็นธรรมทุกฝ่าย ในการเลือกตั้งช่วงโค้งสุดท้ายนี้” นายธนาธร ระบุ

จากการตรวจสอบกำหนดการตรวจราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งพบว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีโปรแกรมการตรวจราชการในหลายจังหวัด อาทิ การลงพื้นที่ตรวจราชการที่ จ.เชียงราย และแพร่ ในวันที่ 16 มีนาคม  จากนั้น 18 มี.ค. ช่วงเช้าเป็นประธานเปิดงานกองทุนหมู่บ้าน ที่เมืองทองธานี และช่วงบ่ายเดินทางไปจังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อติดตาม ตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยจากพายุโซนร้อนปาบึก โดยวันที่ 19 มี.ค. นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการไปร่วมในพิธีฉลองการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก และ วันที่ 20 มี.ค. ช่วงเช้า เดินทางไปตรวจราชการที่สวนเบญจกิตติ พื้นที่กรุงเทพฯ จากนั้นช่วงบ้ายวันเดียวกันไปตรวจราชการที่ จ.ฉะเชิงเทรา

ในวันนี้ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ อดีตแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ โพสต์ข้อความลงบนเฟสบุ๊ค พร้อมหนังสือราชการที่ออกโดยจังหวัดแพร่ ถึงนายอำเภอให้เตรียมคนมาต้อนรับการตรวจราชการของนายกรัฐมนตรี พร้อมตั้งคำถามถึงความเป็นธรรมในการลงพื้นที่หาเสียงในช่วงการเลือกตั้งโค้งสุดท้ายนี้

“เมื่อคืนเห็นคลิปลุงคนหนึ่ง บอกชาวบ้าน ขอให้กล้าไปกับผม คงไม่มีใครกล้าไปพรุ่งนี้ ที่จังหวัดแพร่จึงมีหนังสือสั่งการให้นายอำเภอเกณฑ์ชาวบ้านมาต้อนรับ และน่าจะต้องฟังปราศรัยด้วย เพราะลุงต้องซ้อมไว้ขึ้นเวทีปิดท้ายในกรุงเทพฯ นี่คืออีกแบบหนึ่งของการเอาเปรียบหรือไม่?” ข้อความของ นายณัฐวุฒิ ระบุ

ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ ให้สัมภาษณ์กรณีเอกสารของจังหวัดแพร่ ว่า เป็นการกระทำที่เอาเปรียบประชาชน เพราะมีการใช้งบประมาณของรัฐโดยลงพื้นที่คู่ขนานกับพรรคพลังประชารัฐ รวมทั้งมีข้าราชการในพื้นที่ไปบอกให้ประชาชนเลือกพรรคพลังประชารัฐ ดังนั้นขอให้ระวังจะถูกฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายจึงขอให้ กกต. ตรวจสอบ

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง