ทักษิณ ชินวัตร ให้ความเห็นผ่านสื่อนอก ถึงการเลือกตั้งที่ใกล้จะมีขึ้น
2018.10.19
กรุงเทพฯ
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น โดยให้สัมภาษณ์กับสื่อญี่ปุ่นที่ประเทศฮ่องกง ระบุว่า เวลาของฝ่ายรัฐบาลทหารใกล้หมดลงแล้ว หากว่าฝ่ายประชาธิปไตยสามารถคว้าที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรได้มากว่า 300 ที่นั่ง ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า แต่เชื่อว่าทหารอาจจะพยายามรักษาอำนาจไว้ ขณะที่สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้นำเหล่าทัพประกาศไม่รับปากว่าจะไม่ยึดอำนาจอีก เพราะสาเหตุหลักคือความวุ่นวายที่เกิดจากการเมือง
อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย ผู้ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศนับแต่ถูกพลเอกสนธิ บุญรัตกลิน ผบ.ทบ. ในขณะนั้น ทำการยึดอำนาจล้มรัฐบาลตั้งแต่ปี 2549 ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ที่ประเทศฮ่องกง เมื่อวันพฤหัสบดีนี้ เกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ว่า ทหารอาจจะพยายามสืบทอดอำนาจในการบริหารประเทศ แต่หากฝ่ายประชาธิปไตยได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรมากพอ รัฐบาลที่สนับสนุนฝายทหารอาจจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่จะมีอายุสั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญกำหนดกระบวนการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี โดยให้วุฒิสมาชิกที่ทหารเลือกมา 250 คน มีส่วนร่วม อันจะทำให้พรรคที่มีเสียงข้างมากพลาดโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีได้
“ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยมีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรมากกว่า 300 ที่นั่ง จากจำนวนทั้งหมด 500 ที่นั่ง รัฐบาล(ที่สนับสนุนทหาร) จะไม่สามารถดำเนินงานได้ เพราะจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ภายใต้การตรวจสอบการใช้งบประมาณและการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่สมาชิกวุฒิสภาไม่สามารถมีส่วนร่วมด้วยได้ นั่นส่อว่ารัฐบาลอาจจะล่มลงได้ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์” อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับเอ็นเอชเค
แม้ว่าอดีตนายกฯ ทักษิณ จะลี้ภัยและใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ พรรคการเมืองภายใต้การกำกับของอดีตนายกฯ ยังคงชนะการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลอยู่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ คนที่ 25 และนายสมชาย วงสวัสดิ์ นายกฯคนที่ 26 และ ล่าสุด นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ คนที่ 28 ของประเทศไทย น้องสาวของนายทักษิณ ที่ถูกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจเมื่อปี 2557 จัดตั้งรัฐบาลทหารปกครองประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน โดยล่าสุด พล.อ. ประยุทธ์ ประกาศว่าการเลือกตั้งอาจเกิดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งอดีตนายกฯ มั่นใจว่าประชาชนและพรรคการเมืองที่สนับสนุนประชาธิปไตย จะสามารถเข้าไปนั่งในสภาผู้แทนราษฎรมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนที่นั่งทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นายทักษิณ ก็ไม่ได้ปิดโอกาสตัวเองในการหวนคืนสู่การเมืองไทย
“ผมไม่ได้อยากจะหวนคืนสู่การเมือง นอกจากว่า ผมจะสามารถช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชนที่สนับสนุนผมมาโดยตลอด พวกเขาต้องการผม และผมอาจจะทำอะไรได้ดีกว่าเพื่อพวกเขา” นายทักษิณ กล่าวกับเอ็นเอชเค
พรรคการเมืองภายใต้เครือข่ายของนายทักษิณ ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย เพื่อชาติ และเพื่อธรรม ซึ่งนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เป็นผลพวงของรัฐธรรมนูญที่อนุญาตให้มีการแตกพรรคเป็นพรรคเล็กๆ ได้
“เราเป็นประชาธิปัตย์พรรคเดียว ไม่มีสาขาหนึ่งสอง เราค่อนข้างเสียเปรียบด้านคะแนนเสียง” นายนิพิฏฐ์ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์
ด้านนายฐิติพล ภักดีวานิช คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ให้ทัศนะว่า พรรคเพื่อไทยน่าจะทราบดีว่าจะไม่สามารถฝ่าด่านวุฒิสมาชิกได้ จึงพูดออกมาเชิงสร้างอำนาจต่อรอง
“พรรคเพื่อไทยคาดการณ์อยู่แล้ว รู้อยู่แล้วว่าเป็นรัฐบาลไม่ได้ เพราะมี สว. อยู่ ที่ยุทธศาสตร์ของเพื่อไทยทำ ก็คือให้ได้ สส. มากที่สุด เพื่อคานอำนาจและสร้างอำนาจต่อรอง สิ่งที่คุณทักษิณพูด เหมือนขู่ แต่หากเมื่อเกิดขึ้น อาจจะมีดีลระหร่างทหารกับเพื่อไทยหรือเปล่า เป็นสิ่งที่ผมเชื่อว่าจะเป็นคำถาม” นายฐิติพล กล่าวแก่เบนาร์นิวส์
“ผมว่า คะแนนเสียงไม่น่าจะง่ายขนาดนั้น สิ่งนึงที่เราเห็นคือ การเกิดขึ้นของพรรคธนาธร อนาคตใหม่ ที่จริงๆ แล้วๆ สส. ย้ายพรรคไป อาจทำให้มีส่วนที่ได้ผลกระทบกับเพื่อไทย แต่ความฉลาดของเพื่อไทย คือการกำหนดนโยบายของพรรค ที่ออกนโยบายที่ดึงดูดคะแนนเสียงได้เยอะ แต่คราวนี้ ยุทธศาตร์ของทหารก็เริ่มฉลาด เริ่มใช้โซเชียลมีเดีย” นายฐิติพล กล่าวเพิ่มเติม
เบนาร์นิวส์ได้พยายามติดต่อเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อขอความเห็นในเรื่องนี้ แต่ไม่ได้รับคำตอบ
และล่าสุดเมื่อกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ในวันที่ 10 ตุลาคม 2561 อัยการฝ่ายคดีพิเศษ มีมติสั่งฟ้องนายพานทองแท้ ชินวัตร จำเลยข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ในกรณีรับเช็คของธนาคารกรุงไทย-กลุ่มกฤษดามหานคร จำนวน 10 ล้านบาท ซึ่งทนายความได้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวจำนวน 1 ล้านบาท ในวันนั้น
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว โดยมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล โดยศาลนัดสอบคำให้การจำเลยนัดแรก ในวันที่ 5 พ.ย. 2561
ทหารบอกประชาชน อย่ากังวลเรื่องการรัฐประหาร
ในวันนี้ พลเอกพรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยมีผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม โดยกล่าวถึงจุดยืนของกองทัพในการเลือกตั้งที่อาจจะเกิดขึ้นในปีหน้าว่า กองทัพมีหน้าที่ทำให้ประเทศชาติอยู่ในความสงบ และอย่าไปกังวลว่าทหารจะปฏิวัติหรือไม่ หลังจากที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. และ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผบ.ทอ. ต่างประกาศไม่รับปากว่าจะไม่มีปฏิวัติเกิดขึ้นอีก
“ท่านพูดด้วยประสบการณ์ คือ แผนเผชิญเหตุสุดท้าย แต่ในขณะที่กลไกกฎระเบียบของบ้านเมืองยังใช้บังคับได้ และผู้คนเคารพกฎหมาย ความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ก็ยังไม่เห็นปรากฎว่ามีนัยยะสำคัญ จนถึงขนาดที่ต้องน่ากังวล การที่เราไปพูดถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น และไม่มีท่าทีว่าจะเกิดจะทำให้สังคมเกิดความกังวลได้ เราทุกคนต้องยืนหยัดอยู่กับการรับข้อมูลและการตัดสินใจจากข้อมูลนั้นให้เกิดความสงบ” พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าว