โรงงานขนาดใหญ่ เทพพิทักษ์ซีฟูดส์ ปัตตานี ปิดตัวหลังวิกฤตประมง
2018.10.31
ปัตตานี

ในวันพุธนี้ บริษัท เทพพิทักษ์ซีฟูดส์ จำกัด สาขาปัตตานี ได้ปิดตัวลง พร้อมทั้งเลิกจ้างพนักงาน 937 คน โดยจ่ายเงินชดเชยให้พนักงานทั้งหมด 68,905,380 บาท และจะย้ายการผลิตไปรวมกับสาขาหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยระบุว่า ปัญหาประมงไทยเป็นสาเหตุสำคัญของการปิดตัวครั้งนี้
นายอดิศร กลิ่นพิกุล ตัวแทนบริษัท เทพพิทักษ์ซีฟูดส์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา โรงงานเทพพิทักษ์ซีฟูดส์ สาขาปัตตานีประสบปัญหาหลายประการ ทำให้บริษัทตัดสินใจหยุดกิจการในปัตตานี เพื่อรวมสายการผลิตกับสาขาใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
“วันนี้ จ่ายค่าชดเชยการเลิกจ้างพนักงาน 937 คน เป็นเงิน 68,905,380 บาท รู้สึกเสียดาย แต่ธุรกิจคือธุรกิจ บริษัท เทพพิทักษ์ซีฟูดส์ จำกัด อยู่ในเครือโชติวัฒน์ มีหลายสาขา เราปิดโรงงานนี้แล้วไปรวมกับสาขาหาดใหญ่ ซึ่งพนักงานบางส่วนจะไปทำงานที่โรงงานในหาดใหญ่ด้วย” นายอดิศร กล่าว
“วัตถุดิบทั้งหมด เรารับมาจากประมงพื้นบ้าน เมื่อมีมาตรการต่างๆ ประมงพื้นบ้านได้รับผลกระทบ เราก็ได้รับผลพวงด้วย เพราะทำให้ต้นทุนเพิ่ม การปิดโรงงานที่นี่มาจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งมาตรการการค้าระหว่างประเทศ การประกาศมาตรฐานไอยูยู ทั้งสถานการณ์ความไม่สงบ ทำให้ลูกค้ารายใหม่ไม่กล้าเข้ามาในพื้นที่ หน่วยงานราชการบางหน่วยไม่กล้าลงอบรมพนักงานตามคำขอ” นายอดิศร กล่าวเพิ่มเติม
ทั้งนี้ บริษัท เทพพิทักษ์ซีฟูดส์ จำกัด ส่งออกปลาหมึกแช่แข็งให้ยุโรป เกาหลี ญี่ปุ่น เดือนละ 40 ตู้คอนเทนเนอร์ มีมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยปีละ 2 พันล้านบาทต่อปี แต่ในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกลดลงจากเดิม 20-30 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ในปี 2556 โรงงานในจังหวัดปัตตานีเคยมีการปิดกิจการแล้ว 3-4 แห่ง เป็นโรงงานขนาดกลางและเล็ก มีการเลิกจ้างพนักงานกว่า 1 พันคน ซึ่งสาเหตุเกิดจากภาวะเศรษฐกิจโลก และปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
อย่างไรก็ตาม ดร.ตติยะ ฉิมพาศรี ประธานอุตสาหกรรมจังหวัดปัตตานี ระบุว่า ปัญหาการประมงส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดปัตตานี ไม่ใช่ปัญหาการก่อความไม่สงบ แต่ทุกฝ่ายไม่ต้องการเห็นบริษัทปิดตัวลงตามเทพพิทักษ์ซีฟูด
“เทพพิทักษ์ซีฟูดส์ เป็นโรงงานขนาดใหญ่ โรงงานแรกที่ปิดตัวลง โรงงานในปัตตานีมี 40 โรงงาน เป็นขนาดใหญ่ 5 โรงงาน กลาง 20 โรงงาน และเล็ก 15 โรงงาน ไม่อยากเห็นโรงงานที่สอง สาม สี่ ต้องปิดตัวลงอีก ที่ผ่านมาพูดคุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดว่า ความไม่สงบไม่ใช่ปัญหาที่ส่งผลกระทบจนวิกฤต แต่การประมงคือปัญหาที่สำคัญ ประมงกระทบบุคลากร ทุกคนไม่อยากให้ถึงจุดนี้” ดร.ตติยะ กล่าว
ด้านนางชูติมา สักมาก อายุ 50 ปี อดีตพนักงานแผนกบรรจุภัณฑ์ซึ่งทำงานกับโรงงานเทพพิทักษ์ซีฟูดส์เป็นเวลา 14 ปี กล่าวว่า พอใจกับการชดเชยของบริษัท เชื่อว่าเงินที่ได้รับชดเชยจะเพียงพอสำหรับช่วงที่ต้องหางาน
“พอใจกับเงินชดเชยที่ทางบริษัทให้ หลังจากนี้ก็คงต้องหางานนอกระบบทำ เพราะอายุมากแล้ว จะเอาเงินที่ได้ไปตั้งหลัก และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในช่วงที่หางานใหม่ทำ ที่นี่ เขามีสวัสดิการดี เงินเดือนเข้าตรงทุกเดือน ดูแลทุกคนเหมือนคนในครอบครัว เรามีความสุขดีที่ได้ทำงานที่นี่” นางชูติมากล่าวแก่เบนาร์นิวส์
ส่วนนายอิสมะแอ สาและ ชาวปัตตานี กล่าวว่า รู้สึกตกใจกับข่าวการปิดกิจการของโรงงงานเทพพิทักษ์ซีฟูดส์ สาขาปัตตานี เนื่องจากเป็นโรงงานขนาดใหญ่ของจังหวัด
“น่าตกใจมาก กับเรื่องการปิดตัวของโรงงานเทพพิทักษ์วันนี้ โรงงานนี้ใหญ่มาก มีชาวบ้าน 8 อำเภอ ที่ไปทำงานด้วย และชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่จำนวนมากส่งปลาหมึกให้กับโรงงานนี้ หลังจากนี้คงต้องกระทบอย่างหนักแน่นอน เสียใจ แต่ทุกคนต้องหาทางออกให้ได้ในภาวะนี้ เศรษฐกิจแย่ โรงงานใหญ่ต้องปิดตัวลง ชัดเจนว่าแย่แค่ไหน” นายอิสมะแอ กล่าว
ขณะที่ นางสาวฐิติมา เอียดแก้ว จากกลุ่มเศรษฐกิจการประมง กองนโยบาย และยุทธศาสตร์พัฒนาการประมง กรมประมง กล่าวว่า การส่งออกปลาหมึกของไทยในปี 2561 นี้ น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี 2560 โดยส่งออกในรูปแบบปลาหมึกแช่เย็นและแช่แข็ง 96.1 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นปลาหมึกแห้ง ปลาหมึกแปรรูป และปลาหมึกปรุงแต่ง
“การส่งออกสินค้าหมึก และผลิตภัณฑ์ของไทยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2561 มี 13,153.3 ตัน คิดเป็นมูลค่า 3,353.1 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปริมาณและมูลค่าการส่งออกมีการขยายตัวลดลงร้อยละ 1.2 และ 4.3 ตามลำดับ หากพิจารณาเป็นรายเดือน มูลค่าการส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 1,117.7 ล้านบาท” นางสาวฐิติมา กล่าว
โดยไทยส่งปลาหมึกไปยังประเทศญี่ปุ่น มากที่สุด มีมูลค่า 1,056.4 ล้านบาท หรือ 31.5 เปอร์เซ็นต์ รองลงมา คือ อิตาลี 955.5 ล้านบาท หรือ 28.5 เปอร์เซ็นต์ เกาหลีใต้ 469.5 ล้านบาท หรือ 14 เปอร์เซ็นต์ สหรัฐอเมริกา 233.2 ล้านบาท หรือ 7 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นประเทศอื่นๆ
ทั้งนี้ หลังจากวันที่ 21 เมษายน 2558 กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ได้มีมติให้ใบเหลืองแก่ประเทศไทย จากปัญหาการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, unregulated and unreported fishing practices – IUU) ทำให้ต่อมาในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2558 คณะรัฐมนตรีไทยได้ประกาศใช้พระราชกำหนดกฎหมายฉบับใหม่ที่เข้มงวด แทนพระราชบัญญัติการประมง เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งการเข้มงวดด้านกฎหมายทำให้เกิดผลกระทบกับเจ้าของเรือประมง ลูกเรือจำนวนมาก และชาวประมงพื้นบ้าน เนื่องจากไม่สามารถปรับตัวตามกฎหมายให้ทัน กลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาประมงไทยมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่สหภาพยุโรปก็ยังคงสถานะใบเหลืองของไทยอยู่