พระเถระ 5 รูป ถูกจับสึกเอี่ยวคดีทุจริตเงินวัด

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2018.05.24
กรุงเทพฯ
180524-TH-monks-embezzlement-1000.jpg เจ้าหน้าที่ตำรวจนำ พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา และกรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร (กลาง) และพระอรรถกิจโสภณ เลขาฯ เจ้าคณะกรุงเทพฯ ออกจากกองปราบปรามอาชญากรรม หลังจากสอบปากคำ ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2561
เอเอฟพี

ตำรวจกองปราบฯ นำกำลังตรวจค้นวัดดังในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวม 4 แห่ง ในช่วงเช้าวันพฤหัสบดีนี้ และได้ควบคุมตัวพระเถระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป ที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตเงินวัด นอกจากนี้ยังได้ควบคุมตัวพระพุทธอิสระ ตามหมายจับในข้อหาหัวหน้าอั้งยี่ซ่องโจร ปล้นทรัพย์ และปลอมพระปรมาภิไธย ทั้งหมดถูกนำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญา รัชฎาภิเษก ซึ่งศาลปฏิเสธการขอประกันตัวและถูกจับสึกทั้งหมดก่อนเข้าเรือนจำ

พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปราม นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ กว่า 100 นาย พร้อมหมายศาลเข้าตรวจค้นวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดสามพระยาวรวิหาร วัดสัมพันธวงศาราม และควบคุมตัวพระเถระชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมด จำนวน 5 รูป ซึ่งประกอบด้วย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ จำนวน 3 รูป เพื่อนำไปสอบปากคำ ในข้อหากระทำความผิดอาญาคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษา โรงเรียนพระปริยัติธรรม และข้อหาร่วมกันฟอกเงิน นอกจากนี้ ยังได้ควบคุมตัวพระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งพระอรรถกิจโสภณ เลขาฯ เจ้าคณะกรุงเทพฯ ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน

ทั้งหมดถูกนำไปขออำนาจศาลฝากขังที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว และถูกจับสึก

ผู้ต้องหาอีกสองราย คือ พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 4-7 ที่ถูกตั้งข้อหาร่วมกันฟอกเงินนั้น เจ้าหน้าที่ไม่พบตัว ส่วนพระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ได้หลบหนีออกไปทางเส้นทางลับ

“ยังไม่พบ พระพรหมสิทธิ แต่ไม่หนักใจ เพราะหลบหนีอย่างไรก็จะติดตามจับกุมตัวมาให้ได้... จากการตรวจสอบ เราพบว่าท่านมีบัญชีเงินฝากในชื่อส่วนตัวของท่านจำนวน 10 บัญชี จำนวนเงินรวมมากว่า 130 ล้านบาท” พล.ต.ต.ไมตรี กล่าว

พล.ต.ต.ไมตรี กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า จากการสืบสวนขยายผล พบการยักยอกเงินของวัดสระเกศฯ ที่ได้รับการสนับสนุนในสองโครงการมูลค่ารวม 69 ล้านบาท ซึ่งถูกโอนไปยังบัญชีส่วนตัวของฆราวาส นอกจากนี้ รายงานการสืบสวนจากเจ้าหน้าที่ที่ได้เฝ้าติดตามตรวจสอบพฤติกรรมพระเถระชั้นผู้ใหญ่บางรูป มาเป็นเวลาพอสมควร พบว่ามีการใช้เงินกองกลางจากทางวัดบินไปเที่ยวต่างประเทศ โดยจะมีการนัดหมายกับสีกาที่มีความสนิทสนมยังต่างประเทศสองต่อสอง แต่มักจะอ้างกับลูกศิษย์ว่า ไปแสวงบุญเพื่อพระพุทธศาสนา

ขณะที่ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน การดำเนินการของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามข้อมูลที่ปรากฎ

“เรื่องของคณะสงฆ์นั้น จะประกอบไปด้วยกฎหมายมหาเถรสมาคม พระธรรมวินัย โดยต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กัน ส่วนเรื่องการสึกพระนั้น มีกระบวนการตามขั้นตอน ค่อยๆ ดูกันไป” นายสุวพันธุ์ กล่าว

“การทุจริตเงินทอนวัดที่มีพระชั้นผู้ใหญ่เอี่ยวกระทบต่อความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อศาสนาแน่นอน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในศาสนา ควรจะแก้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ไม่ให้พระสงฆ์มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและสามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินของวัดได้" นายไพบูลย์ นิติตะวัน  อดีตสมาชิกวุฒิสภาและอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ กล่าวแก่ผู้สื่อข่าว

ปฐมเหตุ ทุจริตเงินทอนวัด

การทุจริตเงินงบประมาณที่ใช้อุดหนุนวัดในการบูรณปฏิสังขรณ์ หรือเพื่อกิจกรรมส่งเสิรมพระพุทธศาสนา หรือที่เรียกว่า เงินทอนวัด เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2558 เมื่อเจ้าหน้าที่อาศัยช่องว่างในการโอนเงินเข้าบัญชีวัดได้โดยตรงโดยไม่มีกระบวนการตรวจสอบ โดยให้วัดเขียนโครงการเพื่อขอสนับสนุนเงินงบประมาณได้โดยตรง โดยต้องบวกเงินส่วนต่างให้กับเจ้าหน้าที่ด้วย

ปัจจุบัน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และตำรวจกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ เป็นสามหน่วยงานหลักในการร่วมกันตรวจสอบคดีทุจริตเงินทอนวัด มากกว่าร้อยวัด พบความเสียหายมูลค่ามากกว่าร้อยล้านบาท

โดยการขยายผลการตรวจสอบคดีทุจริตเงินทอนวัดในรอบแรก พบการทุจริตงบประมาณที่ใช้ในการอุดหนุนบูรณะปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัด 12 วัด ระหว่างปี พ.ศ. 2555-2559 ความเสียหายประมาณ 60 ล้านบาท พบผู้ต้องหา 10 คน สำหรับการตรวจสอบรอบที่สอง พบการทุจริตงบอุดหนุน 3 ประเภท คือ 1.เงินอุดหนุนบูรณะปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัด 2.เงินอุดหนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และ 3.เงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา แผนกธรรมและแผนกบาลี จำนวน 23 วัด ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2555-2560 ความเสียหายประมาณ 141 ล้านบาท มีหลักฐานโยงไปถึงผู้เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดจำนวน 19 คน ตั้งแต่พระสงฆ์จำนวนหลายรูป เจ้าหน้าที่ พศ. หลายระดับ รวมถึง นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ. ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เข้าค้นบ้านและได้ยึดทรัพย์ ที่เกี่ยวข้องกับคดีเงินทอนวัดลอตแรกกว่า 70 ล้านบาทแล้ว

ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ได้เริ่มปฏิบัติการขยายผลการตรวจสอบการทุจริตเงินทอนวัด ในรอบที่สาม จำนวนมากกว่า 100 วัด โดยมีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะเป็นหน่วยงานหลัก และมี ตำรวจ ป.ป.ป. และ สำนักงาน ป.ป.ง. ช่วยประสานงานตรวจสอบเรื่องงบประมาณประจำปีตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2550 เป็นต้นไป เนื่องจากที่ผ่านมาการตรวจสอบเริ่มตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2555 แต่คาดว่าสามารถดำเนินการอายัดทรัพย์กลุ่มผู้กระทำความผิดได้จำนวน 92 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอให้อัยการเสนอต่อศาล เพื่อสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน

จากการตรวจสอบฯ ทั้งสามรอบ พบเจ้าหน้าที่รัฐ จนถึงพระชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินสนับสนุนวัดในโครงการต่างๆ นำไปสู่การสึกพระไปแล้วอย่างน้อย 6 รูป

ที่ผ่านมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ชี้มูลความผิดข้าราชการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติจำนวน 4 ราย พร้อมให้ส่งรายงาน เอกสาร พร้อมความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และส่งเอกสารหลักฐานไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาต่อไป

สึกพระพุทธอิสระ ก่อนนำตัวเข้าเรือนจำ

ในวันเดียวกัน ตำรวจกองปราบฯ นำกำลังคอมมานโดพร้อมอาวุธกว่า 200 นาย เข้าควบคุมตัวพระพุทธอิสระ หรือ พระสุวิทย์ ทองประเสริฐ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม และได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา รัชดา ขอฝากขัง พระพุทธอิสระ ฐานความผิดข้อหาอั้งยี่ซ่องโจรจากการที่การ์ด กปปส. ร่วมทำร้ายร่างกายตำรวจสันติบาล 2 นาย จนได้รับบาดเจ็บสาหัส และคดีปลอมพระปรมาภิไธยและใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ลงองค์พระเครื่องนาคปรกอุดปรอท ซึ่งพระพุทธอิสระปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

ทั้งนี้ ศาลอาญา มีความเห็นยกคำร้องการขอปล่อยตัวชั่วคราว และคุมตัวอดีตพระสุวิทย์ไปเรือนจำทันที ระหว่างรถเคลื่อนออกจากศาล มีประชาชนที่ศรัทธาร้องไห้คร่ำครวญ ต่อเหตุการสึกพระพุทธอิสระครั้งนี้

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง