คสช.ปฎิเสธรู้เห็นการลักพาตัวโกตี๋ที่ลาว

นนทรัฐ ไผ่เจริญ
2017.07.31
กรุงเทพฯ
TH-redshirt-supporters-1000 กลุ่มคนเสื้อแดงผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตรปะทะกับทหารไทย (ซ้าย) ในระหว่างการประท้วงต่อต้านรัฐบาล ใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553
เอเอฟพี

ในวันจันทร์ (31 กรกฎาคม 2560) นี้ ตัวแทนรัฐบาลไทย และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกมาปฏิเสธการกล่าวอ้างของฝ่ายกลุ่มคนเสื้อแดงที่ว่า เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ไทยลักพาตัวนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ อดีตสมาชิกกลุ่มเสื้อแดงปทุมธานี ที่หลบหนีหมายจับของ คสช. ไปอยู่ในประเทศลาวเป็นเวลาร่วม 3 ปีแล้ว ซึ่งสมาชิกกลุ่มคนเสื้อแดงได้กระจายข่าวดังกล่าวบนอินเตอร์เน็ต

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เปิดเผยต่อสื่อมวลชนถึงข่าวที่นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ อดีตสมาชิกกลุ่มเสื้อแดงปทุมธานีถูกลักพาตัวในประเทศลาวว่า กองทัพไม่ทราบเรื่องดังกล่าว และไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นข่าวนี้เป็นความจริงหรือไม่

“พูดคุยกับ พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาฯ สมช. ก็ยืนยันเหมือนกันว่า ไม่ทราบเรื่อง มีแต่ข่าวจากสื่อ เราไม่มีการยืนยัน ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเท็จ หรือที่มาที่ไป แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ ของ ทบ. เพราะในการประสานกับลาว เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ” พล.อ.เฉลิมชัยกล่าว

ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ตอบสื่อมวลชนในทิศทางเดียวกันว่าไม่ทราบ และยังไม่ได้มีการประสานกับรัฐบาลลาว เพื่อขอคำยืนยันเรื่องนี้

ทั้งนี้ ในช่วงเที่ยงของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายชูพงศ์ ถี่ถ้วน แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ที่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยผ่าน ยูทิวบ์ว่า นายวุฒิพงศ์ถูกลักพาตัวไปในช่วงกลางดึกของวันที่ 29 กรกฎาคม 2560 จากบ้านพักในประเทศลาว โดยทราบเรื่องการลักพาตัวครั้งนี้จากการบอกเล่าของคนลาวที่ใกล้ชิดกับนายวุฒิพงศ์

“จับตัวไปตั้งแต่เมื่อคืน เอาไปเฉพาะโกตี๋ คุณเผด็จ (เพื่อนที่อาศัยอยู่ที่ลาวร่วมกับนายวุฒิพงศ์) กับเมียโกตี๋ถูกจับมัดเอาไว้ จนถึงนาทีนี้ก็ไม่รู้ข่าวคราวอะไรเลย เท่าที่ตรวจสอบและได้คุยกับทางคนลาวที่นั่นก็บอกว่า ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของลาวแน่นอน ข่าวนี้ได้มาจากคนลาวที่มีระดับ น่าเป็นห่วงพวกเรา เพราะวันนี้เขาไม่ได้เล่นงานด้วยกฎหมาย แต่เล่นงานด้วยอำนาจ” นายชูพงศ์กล่าว

ขณะเดียวกัน นายจอม เพชรประดับ อดีตผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ซึ่งปัจจุบันลี้ภัยไปอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับนายวุฒิพงศ์ว่า นายวุฒิพงศ์ถูกควบคุมตัวโดยกลุ่มชายฉกรรจ์ไทย

“ผมได้รับคำยืนยันจากคนที่ใกล้ชิดกับโกตี๋ หรือ สหายหมาน้อยว่า โกตี๋ได้ถูก กลุ่มชายชุดดำ ประมาณ 10 คน คลุมหน้าด้วยหมวกไหมพรหม พร้อมอาวุธครบมือ… กลุ่มชายชุดดำดังกล่าวก็ได้กระจายกำลังกัน เข้าจับกุมทั้ง 3 คน โดยเอาผ้าคลุมหน้าทุกคน พร้อมเอาผ้ายัดปาก และมัดมือไพล่หลัง” นายจอมโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว

“จากนั้นก็แยก โกตี่ พาไปขึ้นรถที่เตรียมไว้ ส่วนเพื่อนโกตี๋อีก 2 คน ถูกลากมาขังไว้รวมกันไว้ภายในบ้าน เพื่อนโกตี๋ที่ถูกจับ เล่าให้ฟังว่า ชายชุดดำที่เข้ามาจับกุมพวกตนนั้น พูดภาษาไทย และใช้ที่ช้อตไฟฟ้า ช้อคเข้าที่ต้นคอตน จากนั้นก็ซ้อมแต่ละคน พร้อมขู่ไม่ให้พูด ไม่ให้ร้อง ขณะเดียวกันเขาบอกว่า ยังได้ยินเสียง โกตี๋ พูดว่า โอ้ย หายใจไม่ออก จากนั้น เสียงโกตี๋ ก็เงียบไป” นายจอมระบุผ่านเฟซบุ๊ค

นอกจากนั้น นายจอม เพชรประดับ ยังได้นำรูปของผ้าและสายล็อคพลาสติกที่อ้างว่าถูกใช้ในการมัดตัวภรรยานายโกตี๋และเพื่อน มาโพสต์บนเฟซบุคของตนอีกด้วย

ทางเบนาร์นิวส์ได้โทรศัพท์สอบถามเจ้าหน้าที่กรมการข่าว และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประจำนครเวียงจันทน์ ได้รับคำตอบเพียงสั้นๆ ว่า ไม่ทราบข้อมูลเรื่องนี้

นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ (โกตี๋) อดีตสมาชิกกลุ่มเสื้อแดงปทุมธานี ปัจจุบัน หลบหนีหมายจับของ คสช.อยู่ในประเทศลาว ฐานไม่ยอมมารายงานตัวตามหมายเรียก และจัดรายการวิทยุผ่านระบบอินเตอร์เน็ตที่ชื่อว่า “สหพันธรัฐไทย” เคยเปิดเผยว่า ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรง ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และนอกจากการจัดรายการวิทยุแล้ว ยังได้ทำการฝึกกองกำลังเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศไทยอีกด้วย

ข่าวลือที่ปล่อยออกมานี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลว่า ฝ่ายสนับสนุนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจจะก่อความไม่สงบ หากถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินให้มีความผิดในคดีทุจริตจำนำข้าว

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง