ญาติเหยื่อการสลายการชุมนุมปี 53 ยังรอคอยความยุติธรรม
2020.05.12
กรุงเทพฯ
เดือนพฤษภาคมนี้ ถือเป็นเดือนแห่งการครบรอบเหตุการณ์สลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งทำให้มีประชาชน และทหารเสียชีวิตกว่า 90 ราย และได้รับบาดเจ็บกว่าพันคน อย่างไรก็ตาม แม้ผ่านเวลามา 10 ปีเต็ม ครอบครัวของผู้เสียชีวิต รวมถึงผู้ร่วมชุมนุมยังรู้สึกว่า พวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างที่ควรจะเป็น
“ดิฉันยังเชื่อว่า มีความยุติธรรมอยู่ในกระบวนการยุติธรรมไทย แต่ ณ เวลานี้มันถูกแทรกแซงโดยอำนาจเผด็จการ ดิฉันไม่หวังอะไรกับรัฐบาลนี้ เพราะคนในรัฐบาลนี้ ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีทั้งหมด ประยุทธ์ (จันทร์โอชา) รองนายกฯ บิ๊กป้อม (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) มท.1 (พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา) หลายท่าน ได้ดีจากการเป็น ศอฉ. ดิฉันจึงไม่คาดหวังอะไรจากรัฐบาลนี้ แต่เชื่อว่า ถ้ามีรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้ง ดิฉันจะได้รับความยุติธรรม” นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสา ซึ่งเสียชีวิตระหว่างการสลายการชุมนุม ปี 2553 กล่าวแก่เบนาร์นิวส์
“10 ปีที่ผ่านมา ดิฉันพยายามดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม นำคดีของน้องเข้าสู่การกระบวนการยุติธรรม สิ่งที่ดิฉันคาดหวังคือ หลังการเลือกตั้งปี 54 จะได้รับความยุติธรรม ตอนนั้น คดีเข้าสู่ชั้นศาล คดีอยู่กับอัยการคดีพิเศษ แต่แล้วก็มาเกิดรัฐประหาร คดีทุกอย่างก็ถูกดร็อป ถึงตอนนี้ ดีเอสไอบอกว่า ต้องหยุดดำเนินการเพราะอัยการทหารสั่งไม่ฟ้อง ทั้งที่ก่อนรัฐประหารคดีอยู่ในศาลพลเรือน 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา ดิฉันก็ไม่ยื่นคำร้องต่ออีเอสไอให้มีการดำเนินการ ดิฉันยังเชื่อว่า ดิฉันจะได้รับความยุติธรรม” นางพะเยาว์ ระบุ
น.ส.กมนเกด พยาบาลอาสา อายุ 25 ปี เสียชีวิตในช่วงค่ำของวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ภายในวัดปทุมวนาราม ในช่วงการสลายการชุมนุมโดย ศอฉ. หลังจากนั้น นางพะเยาว์ ได้นำข้อมูลหลักฐานการเสียชีวิตของ น.ส. กมนเกด ไปฟ้องร้องต่อศาล เพื่อเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้อง และทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน คดีอยู่ในกระบวนการสืบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 ดีเอสไอได้เผยแพร่เอกสารข่าวระบุว่า ดีเอสไอจะเปิดเผยความคืบหน้าในการสืบสวนคดีของ น.ส.กมนเกด และผู้เสียชีวิตรายอื่น ภายใน 7 วัน หรือวันที่ 15 พฤษภาคม 2563
ด้าน นางซาบีน่า ซาห์ หนึ่งในผู้ที่เคยเคลื่อนไหวกับกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 เปิดเผยแก่เบนาร์นิวส์ว่า แม้ผ่านเวลามา 10 ปี สิ่งที่คนเสื้อแดงและตนเองยังต้องการคือ ประชาธิปไตย และความยุติธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นจริงก็ต่อเมื่อเปลี่ยนจากรัฐบาลปัจจุบัน สู่รัฐบาลพลเรือน
“สิ่งที่เราต้องการคือ ความยุติธรรม อยากให้คืนความยุติธรรมให้กับประชาชน คืนอิสระให้กับศาล และกระบวนการยุติธรรม 10 ปีที่ผ่านมา เราคิดว่าประเทศไทยยังไม่ได้ไปไหน อาจจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะว่าความเป็นประชาธิปไตยก็ยังหาไม่เจอเหมือนกัน รัฐยังเหมือนเดิม คนที่โดนคดี ข้อหาก็ยังอยู่ในเรือนจำ จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้พิพากษาที่ยะลา (คณากร เพียรชนะ) เราก็เชื่อว่า บางที ศาลหรืออัยการในตอนนั้น อาจไม่ได้รับอิสระในการพิจารณาคดีก็ได้” นางซาบีน่า กล่าว
“เราคิดว่า ตอนนั้นที่เราเคลื่อนไหวเราทำถูกต้องแล้ว คนเสื้อแดง ประชาชนไม่มีอาวุธ คิดว่า เรามีสิทธิที่จะออกมาเรียกร้อง ไม่คิดว่า จะต้องมีการสูญเสียชีวิต ล้มตาย เราผิดหวังเพราะคิดว่า ประชาชนมีความเท่าเทียมเท่ากัน เราหวังทุกวันว่า เราจะมีประชาธิปไตย ครั้งนั้นประชาชนออกมาก็คาดหวังว่า กลุ่มนักเรียน นักศึกษาจะออกมากับเรา ตอนนั้นเราก็ผิดหวังไป ตอนนี้เราก็เห็นการเคลื่อนไหวของนักศึกษา เราก็มีกำลังใจ แล้วก็เห็นความหวัง” นางซาบีน่า กล่าวเพิ่มเติม
กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมประท้วงหลายเดือน ปี 2553
กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง เชื่อว่า กองทัพเป็นองค์กรที่อยู่เบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นรัฐบาลกว่าหน้านั้น ต่อมา นปช. จึงเรียกร้องให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่ เมื่อการเรียกร้องไม่เป็นผล นปช. จึงได้จัดการชุมนุมขึ้นในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเริ่มจัดเวทีชุมนุมใหญ่ที่สี่แยกราชประสงค์ ในวันที่ 12 มีนาคม 2553
หลังมีการชุมนุมของ นปช. รัฐบาลในขณะนั้นได้ประกาศใช้ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) และตั้ง ศอฉ. เพื่อควบคุมสถานการณ์ ก่อนที่ภายหลัง ศอฉ. เริ่มอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธสงครามยิงเข้าใส่บริเวณที่จัดการชุมนุม โดยเรียกว่า “การกระชับพื้นที่” และ “การขอคืนพื้นที่” โดยอ้างเหตุผลว่า ภายในกลุ่มผู้ชุมนุมมีกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย(ชายชุดดำ) แฝงตัวอยู่ การขอคืนพื้นที่ของ ศอฉ. ทำให้มีการเสียชีวิตทั้งฝั่งผู้ชุมนุม และทหารรวมกันกว่า 90 ราย และบาดเจ็บกว่าหนึ่งพันราย ทำให้แกนนำ นปช. ต้องประกาศยุติการชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เพื่อหยุดการสูญเสีย
ปี 2555 ดีเอสไอ รับคดีสั่งสลายการชุมนุม ปี 2553 เป็นคดีพิเศษ ก่อนส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดฟ้องจำเลยทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายผู้ชุมนุมในข้อหา “ร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำหรือฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผล” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งมีโทษสูงสุดคือ จำคุกตลอดชีวิต ต่อมาปี 2557 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า การกระทำของนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ (เทือกสุบรรณ) จำเลยที่ 1-2 เป็นการกระทำโดยใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ราชการในฐานะนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ใช่การกระทำทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัวหรือนอกเหนือหน้าที่ราชการ ปี 2559 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ไม่รับฟ้อง และปี 2560 ศาลฎีกาก็ไม่มีคำสั่งยืนตามศาลอุทธรณ์ คือ ไม่รับฟ้องเช่นกัน
ด้านคดีความของจำเลยฝ่ายผู้ชุมนุม ในเดือนสิงหาคม 2562 ศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้อง ในความผิดข้อหาก่อการร้ายของ 24 แกนนำ นปช. จากการประท้วงในปี 2553 เนื่องจากเห็นว่า เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามกฎหมายมิใช่การก่อการร้าย อย่างไรก็ตามมีอีกหลายคดีซึ่งดำเนินการฟ้องร้องกับประชาชนที่ไม่ใช่แกนนำ และบางคดีนำไปสู่การจำคุกประชาชนที่เคยร่วมเคลื่อนไหวในการชุมนุมปี 2553
นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาประจำประเทศไทยขององค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ เปิดเผยแก่เบนาร์นิวส์ว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีคดีที่เจ้าหน้าที่รัฐถูกลงโทษจากการใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมปี 2553
“10 ปีที่ผ่านมา ตอกย้ำว่า ความรุนแรงที่กระทำโดยรัฐ ไม่สามารถเอาผิดได้ ไม่มีความยุติธรรมเกิดขึ้น เกิดซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ตั้งแต่ ตุลา 19 พฤษภาทมิฬ และพฤษภา 53 สิ่งที่เหมือนกันคือ ความรุนแรงจากรัฐเอาผิดไม่ได้ เกิดวัฒนธรรม ทำผิดแล้วลอยนวล ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีความย่ามใจ แม้เหตุการณ์ปี 53 เป็นอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในการจับจ้องของคนทั้งโลก มีพยานหลักฐาน มีสื่อมวลชน มีการตั้งคณะกรรมการหาความจริง แต่ก็ยังเอาผิดไม่ได้… รัฐประหาร ปี 57 เหมือนตะปูตัวสุดท้ายตอกฝาโลงในการที่จะเห็นความยุติธรรม” นายสุณัย กล่าว
“เรากังวลว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้เกิดความย่ามใจของผู้สั่งการ และผู้ปฏิบัติ จนนำไปสู่การเกิดความรุนแรงขึ้นอีกครั้งในสังคมไทยในอนาคต หากเกิดการเผชิญหน้าของคนสองฝ่าย ฝ่ายกุมอำนาจมีแนวโน้มที่จะใช้กำลังเพราะเชื่อมั่นว่า จะไม่ต้องรับผิดใดๆ กรณี เสื้อแดงทั้งระดับแกนนำ ถึงผู้ร่วมชุมนุมถูกดำเนินคดี และบางคนยังติดคุกอยู่ แต่ขณะที่ คนกุมอำนาจในขณะนั้น ผู้บัญชาการกองทัพ และระดับรองลงมา ล้วนไม่ต้องรับโทษ ทั้งทางวินัยและทางอาญา กระบวนแสวงหาความจริงมันไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ได้หวังจะก่อให้เกิดความยุติธรรม” นายสุณัย กล่าวเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาบนอินเทอร์เน็ต มีการเผยแพร่ภาพและข้อความซึ่งถูกฉายด้วยเลเซอร์บนอาคาร และสิ่งปลูกสร้างหลายแห่งในกรุงเทพฯ โดยเป็นข้อความที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมปี 2553 ซึ่งภายหลัง คณะก้าวหน้า ซึ่งมีแกนนำเป็นอดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ เปิดเผยว่า เป็นผู้ริเริ่มการเคลื่อนไหวดังกล่าว โดยเรียกการเคลื่อนไหวครั้งนี้ว่า #ตามหาความจริง ซึ่งหลายข้อความระบุพาดพิงถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหารระหว่างการสลายการชุมนุมปี 2553
ในการแถลงข่าวในวันนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอร้องไม่ให้กลุ่มยิงเลเซอร์สร้างความสับสน
“วันนี้ อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวอย่างอื่น ให้เกิดความสับสนอลหม่านวุ่นวายกันอีกเลย... ผมต้องการความรัก ความสามัคคี ของคนไทยทั้งหมด"
ต่อการเคลื่อนไหว #ตามหาความจริง พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ว่า กองทัพกำลังรวบรวมข้อมูล และดูข้อกฎหมายเพื่อดำเนินการกับผู้ที่กระทำการเคลื่อนไหวดังกล่าว ทั้งยังได้ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมในปี 2553 ด้วย
“ต้องไปดูเรื่องของข้อกฎหมาย เรื่องข้อความที่ว่า กองทัพมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุม ไม่ชี้แจง เพราะทุกอย่างอยู่ในกระบวนการยุติธรรม อยู่ในศาลแล้ว” พล.ท.คงชีพ กล่าว