ศาลรับฟ้อง 'โรม' ข้อหายุยงปลุกปั่น และฝ่าฝืนคำสั่งห้ามชุมนุม
2018.04.27
กรุงเทพฯ
ในวันศุกร์นี้ ศาลอาญา รัชดาภิเษก รับฟ้องนายรังสิมันต์ โรม แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ในคดียุยงปลุกปั่น และขัดคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกินห้าคน โดยนายรังสิมันต์ ได้ร่วมกับอีกหกแกนนำ จัดการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลทหารจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ที่ถนนราชดำเนินเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
โดยนายรังสิมันต์ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอต่อสู้คดีในชั้นศาล ซึ่งศาล นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 18 มิถุนายน 2561 นี้ ซึ่งนายรังสิมันต์ ได้อนุญาตให้กลับบ้านได้ ด้วยเงินวงเงินประกัน 50,000 บาท ที่ยื่นต่อชั้นอัยการไปก่อนหน้านี้แล้ว
แม้ว่าแกนนำและผู้ร่วมชุมนุมอีก 49 คน ถูกตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาเดียวกันหรือคล้ายกันก็ตาม นายรังสิมันต์ ได้ประกาศเดินหน้าจัดการชุมนุมใหญ่กลางเดือนพฤษภาคม 2561 เพื่อรำลึกถึงการครบรอบ 4 ปี การยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเรือนโดย คสช. เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
“เรามีความพร้อม เพราะในช่วงเดือนเมษายน หลายฝ่ายได้พักผ่อน แต่สิ่งที่อยากให้จับตาคือการเลือกตั้งที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่ การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับตีความกฎหมายย่อมส่งผลกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ การเลือกตั้งไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในเร็ววัน คนอยากเลือกตั้งยังคงเดินหน้าต่อไป และมีความพร้อมที่จะจัดกิจกรรมในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้” นายรังสิมันต์ ระบุ
ในวันนี้ นายรังสิมันต์ โรม กล่าวระหว่างการเข้ารายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหาต่อศาล ที่มีอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ว่า ตนไม่ได้กระทำผิดกฎหมายใดๆ เพราะเห็นว่าการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ไม่ใช่การทำผิด
“เรายืนยันว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ยืนยันว่าสิ่งที่เราทำไปทั้งหมดมีเจตนาบริสุทธิ์ เราไม่เชื่อว่าการที่เราต้องการเห็นการเลือกตั้งเป็นความผิด ถ้าเกิดว่าการเลือกตั้งเป็นความผิด การเรียกร้องการเลือกตั้งเป็นความผิด ต่อไปนี้ ในอนาคตประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งหรือเปล่า” นายรังสิมันต์กล่าว
“สาเหตุที่สั่งฟ้องผมคนเดียว เนื่องจากศาลมีคำสั่งฝากขังผมคนเดียว ซึ่งผมก็ไม่ทราบเหตุผล ทั้งๆ ที่เป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน แต่ผมได้ยื่นประกันตัวด้วยเงินสด 50,000 บาท อัยการจึงต้องฟ้องภายใน 48 วัน” นายรังสิมันต์ กล่าว
อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง นายรังสิมันต์ โรม ต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 โทษจำคุกสูงสุด 7 ปี และข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ข้อ 12 เรื่องการชุมนุมทางการเมืองจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โทษจำคุกสูงสุด 6 เดือน
วันนี้ ศาลได้อ่านคำบรรยายฟ้องให้นายรังสิมันต์ฟัง ซึ่งศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยคำฟ้องของพนักงานอัยการ ที่ระบุว่า นายรังสิมันต์ และพวกอีก 6 คน ได้ร่วมกันใช้รถยนต์ติดเครื่องขยายเสียงเป็นเวที พร้อมติดป้ายโจมตี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านข้างของรถยนต์
โดยนายรังสิมันต์กับพวก ได้ร่วมกันปราศรัยโจมตีการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร คณะรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และร่วมกันผลัดเปลี่ยนปลุกระดมมวลชนให้เกิดการชุมนุมขับไล่รัฐบาล และ คสช. รวมทั้งเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 พร้อมกับการชูสามนิ้ว บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และถนนราชดำเนิน อันเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลที่บริหารประเทศขณะนั้น
“มิใช่การกระทำในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญหรือมิใช่เพื่อแสดงความเห็นหรือติชมโดยสุจริต แต่เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่ก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร... เป็นการยุยงปลุกปั่น สร้างความแตกแยกระหว่างประชาชนที่เห็นต่างกับรัฐบาล ซึ่งเป็นการมั่วสุมชุมนุมทางการเมืองที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้า คสช. หรือผู้ใด อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย” คำบรรยายฟ้องตอนหนึ่ง ระบุ
การชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน หรือ RDN50 มีแกนนำถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และขัดคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 จำนวน 7 ราย สำหรับกรณีของนายรังสิมันต์ ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2561 และพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ได้นำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญา โดยศาลอนุญาตให้ฝากขัง แต่ให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน 50,000 บาท
พนักงานอัยการจึงต้องยื่นฟ้องคดีของนายรังสิมันต์ก่อน ในส่วนของแกนนำที่เหลืออีก 6 คน ขณะนี้อยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน และมีนัดหมายไปพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 เพื่อนำส่งตัวให้พนักงานอัยการต่อไป
ที่ผ่านมากลุ่มคนอยากเลือกตั้ง จัดการชุมนุมแล้วหลายครั้ง ทั้งที่ทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสนามกีฬา (MBK) ถนนราชดำเนิน (RDN) หน้ากองบัญชาการกองทัพบก (ARMY) รวมถึงที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดนครราชสีมาด้วย ซึ่งฝ่ายกฎหมายของ คสช. เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดีข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. และ ยุยงปลุกปั่นมาโดยตลอด