ศาลฎีกายืนจำคุก สุรพงษ์ 2 ปี ฐานออกพาสปอร์ตให้ทักษิณ

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2019.10.10
กรุงเทพ
191010-TH-surapong-1000.jpg นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล (ถือไม้เท้า) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งมาร่วมฟังคำพิพากษาคดีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี สั่งสลายม็อบเสื้อเหลืองจนมีผู้บาดเจ็บล้มตาย วันที่ 2 สิงหาคม 2560
เบนาร์นิวส์

ในวันนี้ ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา (ชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์) ให้ยืนโทษจำคุก นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นเวลา 2 ปี กรณีออกหนังสือเดินทางให้กับอดีตนายกฯ ทักษิณ ขินวัตร แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา เนื่องจากมีโรครุมเร้าหนักหลายโรค รวมถึงมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่ให้เพิ่มโทษปรับเป็นเงิน 100,000 บาท

ในคดีนี้ อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้องนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล จำเลย เรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กรณีที่สั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือเดินทางให้แก่ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ขณะที่จำเลยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ซึ่งนายสุรพงษ์ ปฏิเสธข้อกล่าวหา

โดยก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 19 มิ.ย 61 ให้จำคุกนายสุรพงษ์ เป็นเวลา 2 ปี โดยเห็นว่าการกระทำความผิดของจำเลยมีเจตนาช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนี และเป็นบุคคลที่ถูกออกหมายจับในคดีอาญาอื่นๆ ให้สามารถเดินทางในต่างประเทศได้สะดวก และเป็นผลบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย จึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ ต่อมา นายสุรพงษ์ ได้ยื่นประกันตัวและยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งในวันนี้ นายสุรพงษ์ ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมกับทนายความ และคนใกล้ชิด โดยสวมชุดขาว ใส่แวนตากันแดด สวมหมวก และหน้ากากอนามัย เนื่องจากอยู่ระหว่างการรักษาอาการป่วยด้วยโรคมะเร็ง

ในเวลา 12 นาฬิกา องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ ที่ได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีการวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา ระบุว่าได้พิเคราะห์พยานหลักฐานต่างๆ แล้วเห็นว่าคำอุทธรณ์ของจำเลยทั้ง 6 ข้อ อาทิ ที่มาของคณะกรรมการ ปปช. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  การอ้างรายงานของเจ้าหน้าที่ระดับสูง หรือ การแจ้งข้อกล่าวหาและการไต่สวนคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ล้วนฟังไม่ขึ้น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดจริง

“การแจ้งข้อกล่าวหาและไต่สวนคดีนี้ชอบแล้ว พันตำรวจโททักษิณ ถูกศาลพิพากษาจำคุกและถูกออกหมายจับในคดีร้ายแรงอีกหลายคดี การปลดชื่อพันตำรวจโททักษิณ ออกจากบัญชีรายชื่อที่ต้องตรวจสอบก่อนออกหนังสือเดินทางที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์และออกหนังสือเดินทางให้พันตำรวจโททักษิณ นั้นจึงไม่ถูกต้อง การที่จำเลยเกษียณสั่งในบันทึกและเสร็จสิ้นทั้งกระบวนการในวันเดียวกัน เชื่อว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นในการออกหนังสือเดินทางนี้มาตั้งแต่ต้น จำเลยในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกระทรวงมีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ข้าราชการในกระทรวงได้ ประกอบกับตามหลักการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีสามารถมอบนโยบายให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำไปปฏิบัติ รัฐมนตรีจึงเป็นเจ้าพนักงานมีส่วนเกี่ยวข้องในหน้าที่ดังกล่าว และหากการกระทำนั้นเป็นไปโดยมีเจตนาที่จะทำผิดต่อกฎหมายโดยตรงแล้ว ผู้สั่งการก็ย่อมจะต้องรับผิดด้วย จำเลยจึงต้องรับผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามฟ้อง” คำพิพากษา ระบุ

ทั้งนี้ คำพิพากษา ระบุถึงคำขออุทธรณ์ให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เสียงข้างมากเห็นว่า โทษจำคุก 2 ปี เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งความผิดแล้ว แต่โทษจำคุกให้แก้เป็นรอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา และให้ลงโทษปรับอีก 100,000 บาท อีกสถานหนึ่ง

“ไม่ปรากฎว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อได้คำนึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สภาพความผิด ประกอบกับได้ความว่า หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาไปเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 จำเลยมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และโรคมะเร็ง ซึ่งโรคมะเร็งได้แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่คอและช่องท้อง จำเลยต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง อันเป็นพฤติการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยโดยรอการลงโทษจำคุก แต่ให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง” คำพิพากษา ระบุ

ภายหลังศาลมีคำพิพากษา นายสุรพงษ์ ได้ยกมือไว้ขอบคุณศาล ขณะที่เลขาส่วนตัวที่นั่งอยู่ด้านหลัง ยกมือขึ้นปาดน้ำตา สีหน้าโล่งใจ และให้กล่าวกับผู้สื่อข่าวเบนาร์นิวส์สั้นๆ ว่า “ดีใจมากเลยค่ะ เดี๋ยวต้องไปสู้กับมะเร็งต่อ”

อย่างไรก็ตาม ทนายความของนายสุรพงษ์ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์  และเลขาส่วนตัว กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า นายสุรพงษ์ เดินทางออกจากศาลไปยังโรงพยาบาลแล้ว

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง