อัยการสูงสุดเตรียมรื้อคดีทักษิณ ม.112 กู้กรุงไทยฯ และสัมปทานมือถือ-ดาวเทียม

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2017.10.06
กรุงเทพฯ
171006-TH-thaksin-620.jpg ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ตอบคำถามระหว่างการให้สัมภาษณ์ ในนิวยอร์ค วันที่ 9 มีนาคม 2559
เอเอฟพี

ในวันศุกร์ (6 ตุลาคม 2560) นี้ นายเข็มชัย ชุติวงษ์ อัยการสูงสุดคนใหม่ เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เตรียมที่จะรื้อทำคดีที่เกี่ยวข้องกับ นายทักษิณ ชินวิตร อดีตนายกรัฐมนตรีใหม่ คือ ความผิดกฎหมายหมิ่นเบื้องสูง (ม.112) ทุจริตปล่อยกู้เงินธนาคารกรุงไทย และทุจริตแก้สัมปทานมือถือและดาวเทียม

นายเข็มชัย ชุติวงษ์ อัยการสูงสุดคนที่ 14 ที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2560 ได้ชี้แจงต่อสื่อมวลชนว่า ในการเข้ามาทำหน้าที่ตามนโยบายของสำนักงานอัยการสูงสุด อาจจะมีการกลับมาดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในอดีตอีกครั้ง ซึ่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีคดีที่ อสส. เคยติดตามหลายคดี ดังนั้น หากมีหลักฐานเพียงพอจะมีการสั่งฟ้อง นายทักษิณตามความผิด

“จะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้โดยให้อธิบดีสำนักงานคดีพิเศษ ซึ่งเดิมเคยเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบคดี เป็นผู้เสนอรายชื่อคณะทำงานที่เหมาะสมขึ้นมา และยังไม่มีการกำหนดระยะเวลา ก่อนยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ นักการเมืองขอให้นำคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ หากศาลฎีกาฯ นักการเมืองเห็นตรงกันในการบังคับใช้กฎหมายส่วนนี้ ก็สามารถดำเนินการต่อได้” นายเข็มชัยกล่าว

“คดีดังกล่าวเป็นการยื่นฟ้องคดีในกฎหมายเก่าปี พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542) ที่เดิมไม่สามารถที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาคดีลับหลังโดยที่ไม่มีตัวจำเลยได้ แต่กฎหมายใหม่ที่เพิ่งออกมา พ.ศ.2560 มาตรา 28 ให้ศาลสามารถดำเนินกระบวนพิจารณาคดีโดยไม่มีตัวจำเลย หรือ พิจารณาคดีลับหลัง” นายเข็มชัยกล่าวเพิ่มเติม

นายเข็มชัยระบุว่า ในบทเฉพาะกาล มาตรา 69 ของกฎหมายใหม่ได้ระบุไว้ว่า การดำเนินการใดที่เกิดขึ้นมาโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายเก่าแล้วนั้น จะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ให้พิจารณาต่อไปตามกฎหมายใหม่ที่บังคับใช้ ดังนั้นความเห็นส่วนตัวจึงเห็นว่าคดีดังกล่าวสามารถรื้อฟื้นกลับมาพิจารณาใหม่ได้ โดยในแต่ละคดีที่นายทักษิณเกี่ยวข้องทางการเมือง ก็จะได้มีการดำเนินการต่อหากเห็นว่ามีหลักฐานเพียงพอ ส่วนคดี ม.112 จะได้ประสานกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ในการออกหมายจับ

ทั้งนี้มี นายทักษิณ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตกู้เงินธนาคารกรุงไทยฯในฐานะ เป็นจำเลยที่ 1 ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้สั่งการให้ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย อนุมัติสินเชื่อให้กับ บริษัทในเครือกฤษดามหานคร ซึ่งอยู่ในสถานะไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อได้ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้หลายรายถูกตัดสินมีความผิดจากการทุจริตครั้งนี้แล้ว แต่ศาลฎีกาฯ ยังไม่มีคำตัดสินในส่วนของนายทักษิณ เพราะอยู่ระหว่างหลบหนีคดี

นายทักษิณ ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตแก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือและดาวเทียม ในฐานะ เป็นเจ้าหน้าที่ทำการทุจริตออกกฎหมายแก้ไข ค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ-ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจ บริษัท ชินคอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทของตนเอง ในสมัยที่ตนเองเป็นรัฐบาล

นายทักษิณ ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เนื่องจากในปี 2557 ได้ให้สัมภาษณ์พาดพิงถึงองคมนตรี และกองทัพ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหาร อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวผู้ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อใน บก.ปอท.กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ว่า ปัจจุบัน บก.ปอท.ยังไม่ได้รับหนังสือใดๆจาก สำนักงานอัยการสูงสุด

ทักษิณกับการหลบหนีคดี

นายทักษิณ ชินวัตร ถูกทำรัฐประหารยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549 ขณะเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา ก่อนเดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกครั้งในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 หลังจากที่พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง และมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี

11 สิงหาคม 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษา คดีที่นายทักษิณ เป็นจำเลยจากความผิดในการทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ร่วมกับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ซึ่งก่อนหน้านั้นนายทักษิณได้ขออนุญาตศาลเดินทางไปชมกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศจีนในวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 แต่นายทักษิณไม่ได้กลับมาฟังคำพิพากษาตามที่ศาลนัด

21 ตุลาคม 2551 ศาลฎีกาฯ ได้อ่านคำพิพากษาลับหลังตัดสินจำคุกนายทักษิณเป็นเวลา 2 เดือนไม่รอลงอาญา ส่วนคุณหญิงพจมาน ถูกยกฟ้อง ปัจจุบัน นายทักษิณอาศัยอยู่ในนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไม่เคยเดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกเลยนับจากนั้น

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง