ศาลนัดตัดสินคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา 19 ก.ค. 60 นี้

ในวันอังคาร (9 พฤษภาคม 2560) นี้ นายสมพร มูสิกะ ทนายความในคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญากล่าวว่า ศาลอาญากรุงเทพเหนือจะตัดสินคดีค้ามนุษย์ในวันที่19 กรกฎาคม 2560นี้

ทั้งนี้ ในวันนี้ ศาลอาญาได้นัดสืบพยานโจทก์ ในคดีฟอกเงินทางอาญาต่อจำเลย 51 ราย จากจำเลยจำนวน 103 ราย ที่ถูกฟ้องร้องในคดีค้ามุนุษย์อีกด้วย ซึ่งรวมถึงนายบรรณจง ปองผล หรือโกจง อดีตนายกเทศมนตรีเมืองปาดังเบซาร์เป็นจำเลยที่ 1 นายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ หรือโกโต้ง อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล เป็นจำเลยที่ 29 พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบกเป็นจำเลยที่ 54 และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 4 นาย

“ศาลนัดฟังคำพิพากษาในคดีค้ามนุษย์ในวันที่ 19 กรกฎาคม นี้ และตอนนี้ มีการพิจารณาคดีฟอกเงินทางอาญาต่อจำเลยที่จะมี รวมทั้งหมด 51 คน และมีการฟ้องคดีฟอกเงินทางแพ่ง เพื่อยึดทรัพย์เข้าแผ่นดินด้วย หากพบว่ากระทำจริง” นายสมพรกล่าวแก่เบนาร์นิวส์

คดีค้ามนุษย์เป็นหมายเลขดำ คม.27/2558 คม.28/2558 และ คม.29/2558 ที่มีนายบรรณจง ปองผล หรือโกจง อดีตนายกเทศมนตรีเมืองปาดังเบซาร์เป็นจำเลยที่ 1 นายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ หรือโกโต้ง อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูลเป็นจำเลยที่ 29 พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบกเป็นจำเลยที่ 54 และจำเลยอื่นๆ รวม 103 คน จากหมายจับ 153 คน ซึ่งในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 2 คน

การฟ้องร้องเกิดหลังจากการพบหลุมศพของผู้อพยพชาวโรฮิงญาลักลอบเข้าเมืองบนเทือกเขาแก้ว ในพื้นที่ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ใกล้พรมแดนไทย-มาเลเซีย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 เป็นจุดเริ่มต้นความสนใจของนักสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ นำไปสู่การสืบสวนหาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดครั้งนี้โดยการนำของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจ ภาค 8 หัวหน้าฝ่ายสอบสวนคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา

ในเดือนกรกฎาคม 2558 พนักงานอัยการได้เริ่มฟ้องผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในความผิด 16 ข้อหา ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ฯ พ.ศ. 2551 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติฯ พ.ศ. 2546 ต่อจำเลย 88 คน และภายหลังได้มีการโอนคดีจากศาลนาทวี จ.สงขลา มาพิจารณาที่แผนกคดีค้ามนุษย์ของศาลอาญาในเดือนตุลาคม 2558 จนมีการขยายผลดำเนินคดีจำเลยได้ 103 คน ในขณะนี้

กระทั่งมีการตรวจสอบหลักฐานในคดีครั้งแรก ในเดือนพฤศจิกายน 2558 พร้อมกันกับที่ พล.ต.ต.ปวีณ ผู้เริ่มต้นดำเนินการสืบสวนคดีนี้ได้ลาออกจากราชการ และพาครอบครัวเดินทางออกนอกประเทศโดยอ้างว่า ไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว เนื่องจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จังหวัดภาคใต้

อย่างไรก็ดี กระบวนการพิจารณาคดียังคงเดินหน้าต่อ โดยมีการนัดสืบพยานฝ่ายโจทก์เรื่อยมา จนเสร็จสิ้นในเดือนธันวาคม 2559 และเริ่มสืบพยานฝ่ายจำเลยในเดือนมกราคม 2560 จนกระทั่งศาลได้กำหนดวันนัดอ่านคำพิพากษาในเดือนกรกฎาคม 2560 นี้

สำหรับคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาในส่วนความผิดฐานฟอกเงินในความผิดอาญาซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปีนั้น ศาลได้นัดสืบพยานฝ่ายโจทก์ในวันอังคารนี้ โดยมีจำเลย 49 คน และเตรียมสั่งฟ้องเพิ่มอีก 2 คน

ซึ่งในการสืบพยาน พนักงานอัยการได้เบิกตัว ผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสุไหงโกลก ที่เคยปฎิบัติหน้าที่ช่วงปี 2555 เป็นพยานฝ่ายโจทก์มาให้การเกี่ยวกับความผิดปกติในการโอนเงินของจำเลยหลายรายโดยระบุว่า จำเลยได้โอนเงินจำนวนใกล้เคียงกันไปยังบัญชีต่างๆ มากกว่า 10 ครั้ง และมีการโอนเงินให้กันหลายทอด เกี่ยวข้องกับบุคคลอย่างน้อย 15 คน ซึ่งส่วนหนึ่งได้หลบหนีการจับกุมไป และบางส่วนตกเป็นจำเลยในคดีนี้ รวมมูลค่าเงินที่ถูกถ่ายโอนกว่า 8 ล้านบาท และเชื่อว่าเงินที่ผ่านเข้าบัญชีเป็นเงินจากการค้ามนุษย์

นอกจากการพิจารณาคดีค้ามนุษย์ความผิดฐานฟอกเงินในความผิดคดีอาญาแล้ว หลังจากนี้จะมีการพิจารณาในความผิดคดีแพ่งด้วย โดยหากพบว่า จำเลยได้กระทำผิดจริง จะถูกลงโทษโดยการยึดทรัพย์เข้าสู่ราชการ

แม้ว่าจะเกิดการฟ้องร้องเป็นคดีใหญ่แล้วก็ตาม ยังมีในปีที่ผ่านมาและเมื่อเร็วๆ นี้ ยังมีชาวโรฮิงญพยายามหลบหนีจากรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา และบังกลาเทศ มายังประเทศไทยผ่านไปยังมาเลเซีย อยู่นับร้อยราย

นายนู มูฮัมหมัด ชาวโรฮิงญาที่อาศัยในประเทศไทยโดยถูกต้องตามกฎหมาย กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ในวันนี้ว่า มีเพื่อนของตนรายงานว่า มีนายหน้าชาวโรฮิงญาในประเทศไทยที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี พยายามติดต่อนำพาชาวโรฮิงญาออกมาจากประเทศทั้งสอง อีกราว 500 คน

“ชาวโรฮิงญาในยะไข่และบังกลาเทศ บอกผมว่าจะมีชาวโรฮิงญาออกมาอีก 500 คน โดยมีกลุ่มค้ามนุษย์ไปติดต่อ บางคนมีสามีอยู่ในมาเลเซีย บางคนมีญาติอยู่ในต่างประเทศแล้ว จึงอยากที่จะเดินทางออกมาไปอยู่กับญาติ” นายนู กล่าวแก่เบนาร์นิวส์