ศาลตัดสินจำคุกยิ่งลักษณ์ 5 ปี คดีรับจำนำข้าวฯ
2017.09.27
กรุงเทพฯ
ในวันพุธ (27 กันยายน 2560) นี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินให้ลงโทษจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญาต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากความผิดในคดีรับจำนำข้าวฯ โดยให้เหตุผลว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์รับรู้การทุจริตในการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) แต่ไม่ดำเนินการยับยั้ง จึงถือเป็นการละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริต ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ
การอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.22/2558 และคดีหมายเลขแดงที่ 221/2560 ซึ่งอัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (พ.ร.บ.ทุจริตฯ) ในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต และให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว (คดีรับจำนำข้าวฯ) เริ่มขึ้นในเวลา 11.15 น. โดยองค์คณะผู้พิพากษา 9 คนได้ผลัดกันอ่านคำพิพากษากว่า 90 หน้า และพิพากษาลงโทษจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญามีมติเป็นเอกฉันท์ ในเวลาประมาณ 15.00 น.
“การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ โดยกรมการค้าต่างประเทศขายข้าวในสต็อกของรัฐให้ บริษัทกว่างตงฯ และบริษัทห่ายหนานฯ รัฐวิสาหกิจของมณฑล สาธารณรัฐประชาชนจีน ศาลฎีกาฯ วินิจฉัยว่า เป็นการขายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีการแอบอ้างสัญญาแบบรัฐต่อรัฐเพื่อนำข้าวมาขายให้กับผู้ค้าข้าวภายในประเทศอันเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยทุจริต” ตอนหนึ่งของคำพิพากษาระบุ
“จำเลยทราบรายละเอียดและวิธีการขายที่ไม่เป็นไปตามแนวปฎิบัติแบบรัฐต่อรัฐ ทำการตรวจสอบที่ไม่ตรงตามประเด็นที่อภิปราย (โดยสภาผู้แทนราษฎร) แสดงให้เห็นว่าไม่ตั้งใจตรวจสอบอย่างจริงจัง… ทราบว่าสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ระงับยับยั้งปล่อยให้มีการส่งมอบข้าวตามสัญญา… อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ” คำพิพากษาระบุ
ศาลจึงพิพากษาลงโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม) และ พ.ร.บ.ทุจริตฯ มาตรา 123/1 เป็นความผิดหนึ่งกรรม ให้ลงโทษตามความผิดของกฎหมายที่รุนแรงที่สุด คือ พ.ร.บ.ทุจริตฯ จำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญามติเป็นเอกฉันท์ โดยขั้นต่อไปให้มีการออกหมายจับเพื่อนำตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์มาลงโทษตามคำพิพากษา หลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ยอมมาตามนัดอ่านคำพิพากษาครั้งแรกในวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา
ในตอนหนึ่งของคำพิพากษาได้ระบุถึง ข้อฟ้องที่ว่า จำเลยกระทำผิดตามคำฟ้องโดยปล่อยปละละเลยในขั้นตอน “การรับจำนำข้าวเปลือก” จนทำให้เกิดการทุจริตในหลายขั้นตอนเช่น การนำข้าวจากต่างประเทศมาสวมสิทธิรับจำนำข้าว ข้าวสูญหายจากโกดัง การออกใบประทวนอันเป็นเท็จ การใช้เอกสารปลอม การโกงความชื้นและน้ำหนัก เพื่อกดราคาซื้อจากชาวนา เป็นต้นนั้น เป็นความเสียหายที่เกิดจากฝ่ายปฎิบัติ จำเลยได้กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการไว้ตั้งแต่เริ่มโครงการ และระหว่างการดำเนินโครงการได้มีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ และวิธีปฎิบัติเป็นระยะ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ในส่วนนี้
หลังฟังคำพิพากษา นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2560 ยังไม่สามารถติดต่อกับลูกความของตนเองได้ ดังนั้น ยังไม่สามารถระบุได้ว่า จะดำเนินการอย่างไรหลังจากนี้ ซึ่งหากจะอุทธรณ์คำพิพากษา จำเลยจำเป็นต้องมาปรากฎตัวด้วย
“ในฐานะทีมทนายเราก็ได้ทำหน้าที่ของเรา ส่วนศาลท่านก็ทำหน้าที่ของศาลในการพิพากษา ส่วนเราทีมทนายก็จะได้นำคำพิพากษาไปวิเคราะห์อีกทีว่าการต่อสู้เป็นยังไง” นายนรวิชญ์ระบุต่อสื่อมวลชน
ด้าน น.ส.รุ่งรวี เจริญผล ชาวนนทบุรี อายุ 48 ปี ผู้สนับสนุนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่มารอฟังคำพิพากษาหน้าศาลฎีกาฯ พร้อมกับผู้สนับสนุนอีกประมาณ 20 ราย เปิดเผยว่า คำพิพากษาจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือว่า ไม่เหนือจากความคาดหมายของประชาชนที่มารอฟัง แต่ถึงแม้ อดีตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยจะถูกตัดสินลงโทษ ตนเองก็จะยังเลือกพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยหน้า
“เป็นไปตามคาด คิดว่าเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่งั้นท่านก็คงไม่ไป เพราะท่านบอกกับพี่ว่าท่านสู้มาตลอด แต่ท่านก็คงรู้ว่าผลเป็นแบบนี้ คาดหวังกับการเมืองอย่างไร พี่ไม่คาดหวังแล้ว ขนาดเขาเป็นนายกรัฐมนตรียังโดนขนาดนี้ เราตัวเล็กๆจะทำอะไรได้ เลือกตั้งครั้งหน้า เรายังเลือกเพื่อไทยอยู่ เราไม่ได้ยึดติดกับตัวบุคคล เรายึดติดกับนโยบาย คิดว่าเป็นประโยชน์กับคนไทยในประเทศ เพราะคนไทยส่วนใหญ่เป็นคนรากหญ้า” น.ส.รุ่งรวี กล่าวแก่เบนาร์นิวส์
ก่อนหน้านี้ในวันอังคาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเปิดเผยต่อสื่อมวลชน หลังประชุมคณะรัฐมนตรีว่า รัฐบาลมีข้อมูลว่า ปัจจุบัน น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่ที่ใด แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้
“การพาออกไปผิดกฎหมายตรงไหน ถ้ามันพาออกไปจริง พาออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าไปช่วยเหลือจริงๆก็มีคดีอาญาด้วย ถ้าเรารู้ว่าเขาไปไหน ไปอยู่ที่ไหน ผมก็พอรู้ แต่ผมยังไม่บอก พูดไม่ได้ ก็ให้มันหลัง 27 ผมจะบอกว่าอยู่ไหน มันต้องมีคนรู้จักฝากคนนี้คนโน้นช่วยกัน ก็แค่นั้น ไม่มีจะไปลี้ภัยอะไร ภัยการเมือง คดีก็อยู่ศาล” นายกรัฐมนตรีระบุ