ทรัมป์หวนคืนอำนาจ ท่ามกลางความกังวลต่อรมว. กลาโหมผู้ไม่รู้จักอาเซียน
2025.01.21

หลังจากที่โดนัล ทรัมป์ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสมัยที่สอง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้อนรับการหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของเขาด้วยอารมณ์เปี่ยมหวังปนลังเลใจ
พิธีสาบานตนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาถูกย้ายเข้าไปจัดด้านในอาคารรัฐสภาเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ลมหมุนวนขั้วโลกอาจจะส่งผลให้กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีอุณหภูมิติดลบ
ในห้วงเวลาที่ผู้นำอาเซียนในแต่ละภูมิภาคคาดหวังว่าจะได้ประสานความร่วมมือกับสหรัฐฯ มากขึ้น การตอบคำถามต่อคณะกรรมการวุฒิสภาของ พีท เฮกเซธ ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากปธน. ทรัมป์ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ ก็ได้สร้างความกังวลว่า ฝ่ายบริหารจะบริหารจัดการความสัมพันธ์กับภูมิภาคอาเซียนต่อไปอย่างไร เนื่องจากอดีตทหารผ่านศึกและผู้ประกาศข่าวช่อง Fox News ไม่สามารถระบุชื่อชาติที่เป็นสมาชิกของภูมิภาคอาเซียนหรือระบุจำนวนของประเทศสมาชิกได้ระหว่างการพิจารณารับรองตำแหน่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.เองและทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน
“เขาไม่เข้าใจว่าหน้างานของกลาโหมฯ นั้น ปัญหาในพื้นที่ทะเลจีนใต้ ซึ่งสหรัฐฯ มีบทบาทนั้น มีประเทศอาเซียนไปเกี่ยวข้องด้วยจำนวนมาก ซึ่งความไม่เข้าใจนี้อาจนำปัญหามาให้ประเทศอาเซียนในระยะยาว” เอียชา การ์ตี นักวิจัยนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวกับเบนาร์ นิวส์
พีท เฮกเซธ ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (คนกลาง เน็คไทสีแดง) เข้าร่วมพิธีที่โบสถ์เซนต์จอห์นเอพิสโกพัลในวอชิงตัน วันที่ 20 มกราคม 2568 (เอพี)
วอชิงตัน ดี.ซี. ให้กับความสนใจกับภูมิภาคอาเซียนเนื่องจากเป็นตัวแปรสำคัญของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ โดยสมาชิกอาเซียนประกอบไปด้วยประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และประเทศอื่นๆ รวมเป็น 10 ประเทศ หรือประชากรจำนวน 680 ล้านคนซึ่งเป็นเจ้าของระบบเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก
ประเทศไทยและฟิลิปปินส์ถือเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญากับสหรัฐฯ และได้ประสานความร่วมมือกันอย่างแนบแน่นเพื่อต่อต้านอิทธิพลของประเทศจีน โดยกองกำลังทหารของสหรัฐฯ สามารถเข้าถึงฐานทัพ 9 แห่งในประเทศฟิลิปปินส์
ประเทศจีนเริ่มรุกล้ำพื้นที่ในอาเซียนอย่างมีนัยสำคัญด้วยการลงทุนผ่านโครงการก่อสร้างพื้นฐานต่างๆ และใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจของตนในการสร้างเครือข่าย รวมถึงอ้างสิทธิอธิปไตยเหนือทะเลจีนใต้โดยอ้างว่าเขตแดนของปักกิ่งเหลื่อมซ้อนกับหลายประเทศในอาเซียน ซึ่งถือเป็นประเด็นที่อาจจะสร้างปัญหาจนลุกลามได้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าเฮกเซธจะไม่สามารถตอบคำถามของแทมมี ดักเวิร์ธ สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐฯ ผู้ที่เกิดในกรุงเทพมหานครและได้รับบาดเจ็บในหน้าที่ยามสู้รบให้กับกองทัพของสหรัฐฯ ทว่า ผู้นำอาเซียนบางประเทศกลับแสดงออกถึงสัญญาณที่ดีต่อการประสานความร่วมมือกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของปธน.ทรัมป์
ปราโบโว ซูเบียนโต (Prabowo Subianto) ประธานาธิบดีอินโดนีเซียออกมาแสดงความยินดีกับชัยชนะของทรัมป์ และออกตัวว่าต้องการพบปะกับเขาเป็นการส่วนตัว ด้านอันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเรียกการเลือกตั้งในครั้งนี้ว่าเป็น “การคืนสู่เวทีการเมืองอันน่าทึ่ง” และแสดงออกถึงความเป็นไปได้ในการสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับสหรัฐฯ
ท่าทีของนักวิเคราะห์
ราเดน โมฮัมหมัด ลุธฟิ (Raden Mokhamad Luthfi) นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงแห่งมหาวิทยาลัยอัลอัซซั อินโดนีเซีย (Universitas Al Azhar Indonesia) ระบุว่า เขาตั้งคำถามกับความสัมพันธ์ทางกลาโหมระหว่างประเทศสหรัฐฯ และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก เนื่องจากทรัมป์และเฮกเซธมีมุมมองต่อต้านชาวมุสลิม
อิวานกา ทรัมป์และครอบครัวของเธอเดินทางมาถึงโบสถ์เซนต์จอห์นเอพิสโกพัล เพื่อร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน วันที่ 20 มกราคม 2568 (เอพี)
“มุมมองต่อศาสนาอิสลามของเฮกเซธอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการสานต่อความสัมพันธ์กับประเทศที่มีประชากรมุสลิมเป็นหลักอย่างประเทศอินโดนีเซีย” ลุธฟิกล่าวกับเบนาร์ นิวส์และอ้างอิงหนังสือ “American Crusade: Our Fight to Stay Free”ของเฮกเซธเพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงว่าเขามีมุมมองเชิงลบกับชาวมุสลิม
ด้านคริสติน่า ปาลาเบย์ เลขาธิการองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนคาราปาตัน ของประเทศฟิลิปปินส์กล่าวหาว่า วอชิงตันดี.ซี ได้ใช้ประโยชน์จากการเป็นพันธมิตรกับประเทศตนเองเพื่อสานต่อเป้าหมายเชิงกลยุทธ์
“ประเด็นนี้สอดคล้องกับความเป็นปรปักษ์ต่อประเทศจีนของทรัมป์ อาจจะเทียบเท่าหรือไม่ก็รุนแรงกว่าความเกลียดชังจีนของอดีตปธน.ไบเดน” เธอออกความเห็น
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประเทศไทยกล่าวด้วยความระมัดระวังว่า
“หลังสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาว่าของทรัมป์ เราก็ต้องดูว่าจะปรับอะไร แต่โดยรวม พื้นฐานระหว่างสหรัฐฯ และไทย ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้ว รัฐบาลไทยจะต้องปรับเปลี่ยนอะไรนั้นยังไม่ได้สรุป เพราะทรัมป์เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากมีข้อเสนอแนะเข้ามา ไทยก็จะรับพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของไทย และให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการ”
“อะไรที่เราปรับได้ก็จะปรับ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ” นายภูมิธรรม กล่าว
นักวิเคราะห์รายอื่นๆ ออกความเห็นว่า ความผิดพลาดของเฮกเซธอาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างสหรัฐฯ และภูมิภาคอาเซียนอย่างมีนัยสำคัญ
“การสรุปเพียงว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ไม่คุ้นเคยกับอาเซียนจนส่งผลให้สายสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียนอ่อนแอลงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่” จูลิโอ อมาดอร์ นักวิเคราะห์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ประจำกรุงมะนิลากล่าว “กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ทำงานภายใต้ระบบราชการขนาดใหญ่ และเหล่าคณะทำงานในกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ก็มีความเชี่ยวชาญในด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก”
มูฮัมหมัด วาฟฟา คาริสมา (Muhammad Waffaa Kharisma) นักวิจัยประจำสถาบันศึกษายุทธศาสตร์และรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (Centre for Strategic and International Studies (CSIS)) ในกรุงจาการ์ตาแย้งว่า สหรัฐฯ ไม่ได้มองว่าภูมิภาคอาเซียนมีบทบาทสำคัญในเชิงกลยุทธ์กับสหรัฐฯ
“สมาชิกบางประเทศในภูมิภาคอาเซียนอาจจะมีความสำคัญ แต่ไม่ใช่อาเซียนในฐานะสถาบัน โดยเฉพาะในยุคสมัยที่องค์กรระหว่างประเทศได้รับการสนับสนุนลดลง” เขาออกความเห็นและเสริมว่า ในยุคที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยแรกเขาก็ “ไม่ได้มีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ” กับอาเซียน
“ สหรัฐฯ ก่อตั้งแนวร่วมที่ดูเหมือนว่ามีเป้าหมายนการทำให้อาเซียนอ่อนกำลังลง เช่น เวทีความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างญี่ปุ่น-อินเดีย-สหรัฐอเมริกา-ออสเตรเลีย (the Quad)” เขากล่าว พร้อมอ้างถึงการพูดคุยด้านความมั่นคงระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลีย
การรับรู้ที่จำกัด
อาร์สรูล ฮาดิ อับดุลลาห์ ซานิ (Asrul Hadi Abdullah Sani) หุ้นส่วนของบริษัทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ ADA Southeast Asia กล่าวว่า การตอบคำถามที่เสียมารยาทของเฮกเซธยิ่งเน้นย้ำให้เห็นว่าแวดวงการเมืองของสหรัฐฯ ไม่รับรู้การมีอยู่ของอาเซียนเท่าใดนัก”
นักเคลื่อนไหวชาวฟิลิปปินส์ประท้วงบริเวณสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงมะนิลา ก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ วันที่ 20 มกราคม 2568 (เบนาร์นิวส์)
อย่างไรก็ตาม ข้อกังวลเกี่ยวกับการลำดับความสำคัญในระยะยาวภายใต้การบริหารรัฐบาลในยุคของทรัมป์ยังคงดำเนินต่อไป
“เราต้องวางแผนเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเมื่อทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้น ผิงสามารถบรรลุข้อตกลงชั่วคราวที่ทำให้ประเทศฟิลิปปินส์ต้องเสียสละผลประโยชน์ของชาติ” รอมเมล จู๊ด อง (Rommel Jude Ong) อดีตพล.ร.ต. ชาวฟิลิปปินส์ผู้เกษียณอายุแล้วบอกกับเบนาร์ นิวส์ และเรียกร้องให้มีการประสานความร่วมมือระหว่างภูมิภาคให้มีความแข็งแกร่งขึ้นจากประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่นและออสเตรเลีย
ระหว่างนั้น ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ตั้งคำถามกับคำตอบของเฮกเซธ
“การที่เขาไม่รู้จักอาเซียนไม่ได้หมายความว่าภูมิภาคนี้ไม่มีอยู่จริง เราทุกคนในอาเซียนต่างรู้สึกหวาดหวั่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฝั่งตะวันตก” ผู้ใช้ชื่อ @tessgarcia ชาวฟิลิปปินส์ โพสต์ลงแพลตฟอร์ม X “คนที่ไม่มีความรู้ด้านภูมิศาสตร์อย่างเฮกเซธนี่เองที่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องแพ้สงครามในเวียดนาม (ซึ่งเป็นประเทศสมาชิกของอาเซียน)”
เจสัน กูเตียเรซ และเจอร์ราด คาร์ริออน ในกรุงมะนิลา จรณ์ ปรีชาวงศ์ ในกรุงเทพฯ อิมาน มุตตากิน และอิซกานดา ซุลคาร์เนน ในกัวลาลัมเปอร์ ปิซาโร โกซาลี อิดรัส และทริอา เดียนติ ในจาการ์ตา ร่วมรายงาน