ฮิวแมนไรท์วอทช์ขอให้ไทยปล่อยตัวผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยที่ถูกจับกุมตัว

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2018.08.30
กรุงเทพ
180830-TH-migrants-1000.jpg เจ้าหน้าที่ พม. รับตัวเด็กมองตังญาดจากที่ว่าการอำเภอ เพื่อไปดูแลที่บ้านเด็กอ่อนพญาไท วันที่ 30 ส.ค. 2561
ฟอร์ติไฟไรท์

ฮิวแมนไรท์วอทช์ออกแถลงการณ์ในวันพฤหัสบดีนี้ เรียกร้องให้ทางการไทยปล่อยตัวผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยที่เป็นชนกลุ่มน้อย ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ทางการไทยจับกุมตัวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ในเขตชานเมืองของกรุงเทพฯ ขณะที่เจ้าหน้าที่ระบุทำตามกฎหมาย และสถานะผู้ลี้ภัยในประเทศไทยยังคงเป็นผู้ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายในประเทศนี้

ในช่วงเช้าของวันอังคารที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา นายชุ้น ณัฐเดช กังสุกุล นายอำเภอบางใหญ่ จ.นนทบุรี นำกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายปกครอง อาสาสมัครรักษาดินแดน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจจังหวัดนนทบุรี ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง บุกเข้าจับกุมชาวพม่า กัมพูชา และเวียดนาม ที่พักอยู่ใน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ได้ทั้งหมด 172 คน เป็นชาวเวียดนาม จำนวน 129 คน ชาวกัมพูชา จำนวน 43 คน ซึ่งจำนวนนี้มีเด็กอายุสามเดือนถึง 17 ปี รวมอยู่ด้วย 47 คน

นายอำเภอบางใหญ่กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การบุกเข้าตรวจค้นจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจากมีชาวบ้านร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรม อ.บางใหญ่ว่า พบชาวต่างด้าวจำนวนมากแอบเช่าห้องพักอยู่รวมกันจำนวนมาก และหลายคนลักลอบทำงาน สงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับเครือข่ายการค้ามนุษย์ จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ทำการเก็บข้อมูลจนทราบว่ามีชาวต่างด้าวจำนวนมากพักอยู่จริง จึงได้วางแผนปิดล้อมจับกุมดังกล่าว

ในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่พบว่าชาวต่างด้าวหลายคนถือบัตรผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยของสำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN High Commissioner for Refugees - UNHCR) ขณะที่อีกหลายคนกล่าวว่าอยู่ระหว่างการขอสถานะจาก UNHCR ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ทำการสืบสวนสอบว่าเป็นบัตรที่ออกโดย UNHCR จริงหรือไม่ เพื่อป้องกันการแอบอ้าง

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในฐานะพนักงานสอบสวนชาวต่างด้าวกลุ่มดังกล่าว ระบุว่า จากการสอบสวน ชาวต่างด้าวทั้งหมดนี้ให้การว่า ได้เดินทางเข้าประเทศไทยมาด้วยตนเอง ไม่ได้มีนายหน้าพามาแต่อย่างใด ก่อนที่จะพากันมาเช่าห้องพักอยู่รวมกันและออกไปทำงาน จนกระทั่งเจ้าหน้าที่เข้ามาปิดล้อมจับกุม ในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหากับทั้งหมดว่าลักลอบเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต และอาศัยอยู่ในประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง ก่อนจะนำทั้งหมดส่งศาลเพื่อให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ด้านเจ้าหน้าที่เอ็นจีโอที่ประสานการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้กล่าวว่า ในส่วนของทารกนั้น เจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและทรัพยากรมนุษย์ได้มีการคัดกรองให้ส่วนหนึ่งไปอยู่ในความดูแลของบ้านเด็กอ่อนพญาไท เพื่อความเหมาะสม

ด้านนายแบรด อดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์ ได้กล่าวในแถลงการณ์ที่แจกจ่ายต่อสื่อมวลชนในวันนี้ว่า “การดำเนินคดีกับผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยเหล่านี้ในข้อหาเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย เกิดจากความเข้าใจผิดต่อเหตุผลที่พวกเขาเดินทางมาประเทศไทย”

นายแบรดระบุว่า ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นชาวเผ่ามองตังญาด ที่หลบหนีการประหัตประหารด้วยเหตุผลด้านศาสนาและการเมืองจากเวียดนามมายังประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่ชนเผ่าจาไรจากกัมพูชา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์ ถูกทางการเวนคืนที่ดิน และได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลให้ทิ้งบ้านเกิดและอพยพเข้าสู่ประเทศไทย และคนเหล่านี้ต้องถูกประหัตประหาร หากมีการส่งตัวพวกเขากลับไปกัมพูชาและเวียดนาม ประเทศไทยจึงไม่ควรดำเนินการเช่นนั้นไม่ว่าด้วยเงื่อนไขใดก็ตาม โดยตัวแทนจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย ได้เดินทางไปยังที่ทำการอำเภอ เพื่อหาทางขอให้ปล่อยตัว “บุคคลภายใต้ความห่วงใย” ซึ่งได้รับสถานะจาก UNHCR แล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

แถลงการณ์ของฮิวแมนไรท์วอชยังระบุด้วยว่า ทางการไทยส่งตัวผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยชาวกัมพูชาจำนวน 34 คน ไปยังศูนย์กักตัวคนต่างด้าวที่ซอยสวนพลู กรุงเทพฯ เพื่อรอการผลักดันออกนอกประเทศ ขณะที่นำตัวผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามจำนวน 38 คนไปดำเนินคดีที่ศาลจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย แต่ไม่มีการจัดหาล่ามแปลภาษา เพื่อช่วยให้ผู้ลี้ภัยเข้าใจข้อกล่าวหาและกระบวนการในชั้นศาลได้อย่างถูกต้อง

นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ให้สัมภาษณ์แก่เบนาร์นิวส์ในงานวันผู้ลี้ภัยโลก เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า ประเทศไทยไม่ได้ให้การยอมรับสถานะของผู้ลี้ภัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494  โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นผู้อพยพในเมือง ยังถือเป็นผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย และไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน

ปัจจุบัน จำนวนกลุ่มผู้ลี้ภัยในเมือง หรือ Urban Refugees ทั้งหมดประมาณ 6,000 คน ซึ่ง UNHCR รับรองสถานะให้เป็นผู้ลี้ภัยแล้วจำนวน 4,000 คน ส่วนที่เหลือเป็นคนที่อยู่ระหว่างแสวงหาที่พักพิง โดย UNHCR กำลังดำเนินการคัดกรองว่าเป็นผู้ลี้ภัยจริงหรือไม่ ทั้งนี้ บุคคลที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพื่อขอสถานะผู้ลี้ภัยมีสองจำพวก คือ กลุ่มที่หลบหนีการประหัตประหาร และกลุ่มที่เข้าเมืองด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง