ภรรยาทนายสมชายร้องขอให้มีการสอบสวนคดีใหม่


2015.03.12
TH-missing-620-Mar2015 นางอังคณา นีละไพจิตร แถลงต่อผู้สื่อข่าวในสถานที่ที่ทนายสมชายถูกลักพาตัวไป บริเวณปากซอยรามคำแหง 69 เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2558 [เบนานิวส์]
BenarNews

นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของทนายสมชาย นีละไพจิตร ที่ถูกลักพาตัวไปจากย่านรามคำแหง เมื่อ 11 ปีก่อน ได้เรียกร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเปิดการสืบสวนคดีใหม่ และแสดงความไม่ไว้วางใจทีมที่ทำคดีชุดปัจจุบัน

ซึ่งในวันนี้ นางอังคณา พร้อมด้วยบุตรสาวและผู้ร่วมรณรงค์การยุติการบังคับบุคคลให้สูญหาย ได้ไปจัดกิจกรรมรำลึกถึงการครบรอบ 11 ปี การหายตัวไปของทนายสมชาย ที่บริเวณรามคำแหง ซอย 69 โดยที่ยังไม่ทราบชะตากรรมที่แท้จริงจนถึงปัจจุบัน

“วันนี้ เป็นวันครบรอบสิบเอ็ดปีที่คุณสมชาย นีละไพจิตร ถูกลักพาตัวไปที่บริเวณนี้... เราอยากจะทวงถามความยุติธรรมด้วย” นางอังคณา กล่าวต่อผู้สื่อข่าว “ดีเอสไอรับคดีไปสิบปีแล้ว แต่คดีไม่มีความก้าวหน้า เพราะผู้กระทำผิดเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ”

ในขณะที่ทนายสมชายถูกลักพาตัวไปนั้น ทนายสมชายได้ว่าความให้กับผู้ต้องหาก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้มีการกล่าวหาตำรวจว่าซ้อมผู้ต้องหา

กรมดีเอสไอให้คำอธิบาย

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา นางอังคณาได้เข้าพบอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ เพื่อร้องขอให้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำการสอบสวนเรื่องนี้ใหม่

นางอังคณา กล่าวว่า ในระหว่างการประชุมกันนั้น ดีเอสไอได้แจ้งให้ทราบว่าสำนวนคดีและหลักฐานต่างๆ ไม่ได้หายไป ดังที่เป็นข่าว เมื่อสองปีก่อนนั้น

ในปี 2556 มีรายงานข่าวว่า พันตำรวจเอกนิรันดร์ อดุลยศักดิ์ ที่รับผิดชอบคดีทนายสมชาย ได้แจ้งว่าแฟ้มคดีหายไปจากเหตุการณ์ที่ กปปส. ได้ประท้วงรัฐบาลของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชิณวัตร ที่หน้าอาคารดีเอสไอ แล้วได้บุกรุกเข้าไปในตัวอาคาร ทำให้เอกสารหายไป

“ดิฉันได้เข้าพบอธิบดีกรมดีเอสไอ เพื่อสอบถามถึงสำนวนคดี และแต่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้บอกกับท่านอธิบดีว่า สำนวนไม่ได้

สูญหาย แต่ดีเอสไอ ก็ไม่ได้ให้เราดูสำนวนหลักฐาน ว่ายังมีอยู่จริง” นางอังคณากล่าวต่อเบนานิวส์ และได้กล่าวต่อไปว่า เรื่องข่าวการสูญหายของสำนวนคดีนั้น ทางดีเอสไอแจ้งว่า พันตำรวจเอกนิรันดร์ให้ข้อมูลที่ผิดพลาด

“ดิฉันจึงไม่ไว้วางใจชุดสอบสวนปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้ทำอะไรเลยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา” นางอังคณากล่าว

ทางด้านรองโฆษกกรมดีเอสไอ พันตำรวจตรีวรนันท์ ศรีล้ำ ได้กล่าวในการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับเบนานิวส์ว่า ในห้วงกาลที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลที่ทำคดีอยู่บ้างเพราะการปรับย้ายตำแหน่งราชการตามวงรอบ

“ในข้อเท็จจริงแล้ว พนักงานสอบสวนทำงานอยู่ตลอด และเรื่องสำนวนที่หายไป ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะมีการแยกเก็บพยานหลักฐาน จึงเกิดการสื่อสารผิดพลาด” พันตำรวจตรีวรนันท์ กล่าวชี้แจง

“สิ่งที่เราจะทำคือเราจะดูสำนวน พยานหลักฐาน และจะปรึกษากับทางอัยการ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการพิจารณาพยานหลักฐาน เพื่อหาแนวทางว่าจะดำเนินการไปในทิศทางใดได้บ้าง”

ข้อกล่าวหาถึงการทำทารุณกรรมของตำรวจ

องค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวว่า ในขณะที่เกิดเหตุลักพาตัวทนายสมชายในตอนนั้น ทนายสมชาย ได้ช่วยลูกความที่เป็นผู้ต้องหาก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าได้ทำร้ายร่างกายผู้ต้องหา

ทนายสมชายได้กล่าวหาว่า มีตำรวจหลายนาย ได้ใช้กำลังต่อผู้ต้องหาในคดีปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 ในจังหวัดนราธิวาส เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อการแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนใต้รอบใหม่ที่ดำเนินมากว่า 11 ปี

มีตำรวจทั้งชั้นสัญญาบัตรและชั้นประทวน 5 นาย ที่ถูกดำเนินคดี ปล้นทรัพย์และข่มขืนใจผู้อื่นโดยการใช้กำลังประทุษร้าย

มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม เผยแพร่ข้อมูลการตัดสินคดีของศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 ว่า ศาลได้ตัดสินยกฟ้องจำเลยสี่คนจากจำนวนห้าคน และยังได้ตัดสิทธ์ภรรยาและบุตรของทนายสมชายไม่ให้เป็นโจทก์ร่วม

ทางด้านนางอังคณา ได้พยายามที่จะหาหนทางดำเนินต่อผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรม หรือคดีการบังคับให้สูญหาย หรืออุ้มฆ่า

“ทางดีเอสไอกล่าวว่า เป็นการยากที่จะเปลี่ยนคดีเป็นการฆาตกรรม เพราะไม่พบศพทนายสมชาย แต่อาจจะดำเนินคดีการบังคับให้บุคคลสูญหายได้” นางอังคณากล่าวต่อเบนานิวส์

“ข้อเท็จจริงคือมีคนกลุ่มหนึ่งได้ลักพาตัว อุ้มตัวทนายไป ซึ่งสามารถหาร่องรอยคดีได้จากการตรวจสอบการติดต่อกันทางโทรศัพท์ของบุคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูว่าได้เกิดอะไรขึ้น” นางอังคณากล่าวเพิ่มเติม

ส่วนด็อกเตอร์ประทับจิต นีละไพจิตร อาจารย์สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา บุตรสาวของทนายสมชาย กล่าวว่า ตนไม่ได้หวังสิ่งใดจากภาครัฐมากนัก แต่ตนตั้งความหวังไว้ที่ภาคประชาชน ที่จะช่วยกันออกมารณรงค์เรียกร้องให้มีการยุติการบังคับให้บุคคลสูญหาย การผนึกกำลังกันของภาคประชาสังคม จะช่วยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมให้มีความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง