บ้านเช่านักการทูตนาอูรูกลายเป็นที่คนจีนใช้ปลอมพาสปอร์ต

สตีเฟ่น ไรท์
2023.01.18
กรุงเทพ
บ้านเช่านักการทูตนาอูรูกลายเป็นที่คนจีนใช้ปลอมพาสปอร์ต เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจสอบรถยนต์ที่เข้าออกหมู่บ้านหรูแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ซึ่งประเทศนาอูรูเช่าบ้านหลังหนึ่งไว้เป็นที่พำนักของกงสุลใหญ่ แต่กลุ่มคนจีนกลับใช้เป็นสถานที่ปลอมแปลงเอกสารเดินทาง วันที่ 18 มกราคม 2566
สตีเฟ่น ไรท์/เบนาร์นิวส์

บ้านพักในพื้นที่ระดับเอ็กซ์คลูซีฟในใจกลางกรุงเทพแห่งหนึ่งที่ได้รับนิยมของนักการทูตต่างชาติ ถูกเช่าไว้เพื่อใช้เป็นที่พำนักของกงสุลใหญ่ ครอบครัว และเจ้าหน้าที่ของประเทศนาอูรู ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นเกาะเล็ก ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกใกล้กับออสเตรเลีย 

แต่โอนาสซิส เดม อดีตกุงสุลใหญ่นาอูรู ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่น 

หลังจากเจ้าหน้าที่ทางการไทยได้เข้าตรวจค้นบ้านดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2565 ตำรวจยืนยันว่าพบข้อมูลว่าบ้านหลังนั้นถูกใช้เป็นสถานที่ปลอมแปลงหนังสือเดินทางสำหรับชาวต่างชาติ โดยมีชาวจีน 2 คน เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งทั้งสองเป็นบุคคลที่รัฐบาลจีนต้องการตัว 

ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าโอนาสซิส ไปอยู่ ณ ที่ใด และมีบทบาทเกี่ยวข้องกับขบวนการปลอมหนังสือเดินทางอย่างไร แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า

แก๊งดังกล่าวปลอมแปลงเอกสารเดินทางของประเทศจีนและประเทศนาอูรู 

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี้  พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวในการแถลงข่าวว่า โอนาสซิสพ้นตำแหน่งไปเมื่อเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว 

สถานกงสุลนาอูรูได้เช่าบ้านหลังดังกล่าวในเดือนกันยายน ในขณะที่นายโอนาสซิสยังเป็นกงสุลใหญ่ในขณะนั้น อ้างอิงตามเอกสารทางกฎหมายของสำนักงานทนายความที่เป็นตัวแทนของบริษัทเจ้าของบ้านเช่า ซึ่งเบนาร์นิวส์ได้รับมา 

“ถ้ากงสุลที่ออกไป ให้คนจีนมาอยู่ด้วย ก็ถือว่าเป็นเรื่องของการสนับสนุน ถ้ามีความผิดนะ ถ้าเราตรวจพบว่ามีความผิด ต้องอยู่บนข้อมูลของการสอบสวน” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าว 

ด้านเจ้าหน้าที่สถานกงสุลนาอูรูประจำประเทศไทยรายหนึ่ง กล่าวในวันอังคารว่า โอนาสซิสถูกเรียกตัวกลับ ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่ครอบคุลมความหมายกว้างขวางที่หมายถึงการสิ้นสุดวาระตามปกติ เพราะการมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตัวเจ้าหน้าที่เอง หรือรัฐบาลนาอูรูแสดงความไม่พอใจต่อประเทศเจ้าบ้านก็ได้  ทั้งนี้ ตามข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศไทย โอนาสซิส รับตำแหน่งเป็นกงสุลใหญ่ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2562 

เบนาร์นิวส์ได้ส่งอีเมลถึงจอห์น หยู รองกงสุลนาอูรูประจำประเทศไทย เพื่อสอบถามรายละเอียดกรณีดังกล่าว แต่ไม่มีการตอบกลับ

ขณะที่เจ้าหน้าที่สถานกงสุล เปิดเผยในวันพุธที่ผ่านมาว่า สถานกงสุลนาอูรูกำลังวุ่นวายกับเรื่องราวของโอนาสซิสและบ้านพักหลังดังกล่าว ส่วนเจ้าหน้าที่สารนิเทศของรัฐบาลนาอูรูกล่าวว่า ไม่มีข้อมูลในเรื่องนี้ 

นอกจากนี้ โอนาสซิส ยังเป็นประธานสมาคมยูโดแห่งประเทศนาอูรู แต่เบนาร์นิวส์ไม่สามารถติดต่อทางโทรศัพท์ได้เช่นกัน

th-nauru-island.jpeg

ภาพถ่ายทางอากาศของประเทศนาอูรูที่มีภูมิประเทศเป็นเกาะเล็ก ๆ ในมหาสุมทรแปซิฟิก วันที่ 12 กันยายน 2544 (ทอร์เซน แบล็ควู๊ด/เอเอฟพี)

 

นาอูรู เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย เป็นรัฐที่เล็กที่สุดเป็นอันดับสามของโลกถัดจากนครรัฐวาติกัน และโมนาโก นาอูรูนับเป็น 1 ใน 14 ประเทศที่ยอมรับว่าไต้หวันมีเอกราชไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจีน 

นาอูรูเป็นเกาะปะการังที่มีพื้นที่เพียง 21 ตารางกิโลเมตร เต็มไปด้วยเหมืองฟอสเฟต ซึ่งทำให้เป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกตลอดหลายทศวรรษ กระทั่งปัจจุบัน ฟอสเฟตกำลังจะหมดลง ทำให้นาอูรูซึ่งมีประชากร 10,000 คน ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากออสเตรเลีย ไต้หวัน และธนาคารพัฒนาเอเชีย 

ในปี 2551 นาอูรูยังยอมรับการแยกตัวของอับคาเซียและออสเซเทียใต้ออกจากจอร์เจีย เพื่อให้ตนได้รับความช่วยเหลือจากรัสเซียอีกด้วย 

อาชญากรรมที่เชื่อมโยงกับจีน 

การสอบสวนคดีสถานที่ผลิตหนังสือเดินทางปลอมแห่งนี้ เป็นความคืบหน้าล่าสุดของการกวาดล้างเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายของชาวจีน ซึ่งถูกเรียกว่า “ทุนจีนสีเทา” ในประเทศไทย 

กรณีที่เกิดขึ้นได้กลายเป็นข่าวดังเมื่อพบการทุจริตของเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงทหาร ในการปฏิบัติการตรวจค้นบ้านเช่าหลังดังกล่าว เมื่อวันที 22 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยมีเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการนี้ถูกออกหมายจับ 16 นาย เพราะเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการรับสินบน และปล่อยตัวให้ชาวจีนซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีทุนจีนสีเทาหลบหนีไป 

ในวันพุธที่ผ่านมานี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังได้มีคำสั่งย้ายนายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ ออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หลังจากที่นายไตรยฤทธิ์ มีชื่อเกี่ยวข้องกับกรณีที่เกิดขึ้น 

บ้านพักหลังที่ถูกตรวจค้น ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพ ประกอบด้วยบ้านหรูหราและอพาร์ทเม้นท์ระดับไฮเอ็นด์ มีสนามหญ้าที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี พร้อมด้วยสระว่ายน้ำและสนามเทนนิส เชื่อมโยงภายนอกด้วยถนนส่วนตัว  เว็บไซต์ของบริษัทผู้ให้เช่า ระบุว่า ค่าเช่าสำหรับอพาร์ทเม้นท์ 3 ห้องนอน สูงถึงเดือนละ 1 แสนบาท ขณะที่บ้าน 3 ชั้น 8 ห้องนอน มีค่าเช่าเดือนละ 4.3 แสนบาท 

การที่มีคนนอกภายนอกและรถยนต์ที่ไม่มีป้ายทะเบียนเข้าออกบ้านที่กงสุลใหญ่นาอูรูเช่าอย่างต่อเนื่องทั้งกลางวันและกลางคืนนั้น ได้สร้างความกังวลให้กับเพื่อนบ้านและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน ซึ่งในที่สุดนำมาสู่การตรวจค้น เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2565 

มีผู้ใช้เฟซบุ๊ครายหนึ่งได้โพสต์ภาพจดหมายจากสำนักงานทนายความในนามบริษัทผู้เช่า ที่ส่งถึงโอนาสซิส ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2565 ซึ่งระบุว่า โอนาสซิสละเมิดสัญญาเช่าเพราะไม่ได้ใช้บ้านนั้นเป็นที่พักส่วนตัวของตนเอง ครอบครัว และเจ้าหน้าที่ตามสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้

“มีรถที่ไม่ได้จดทะเบียนจำนวนมากเข้าและออกบ้านเช่าในเวลาที่ไม่ปกติ รวมถึงยังไม่ระบุวัตถุประสงค์ในการเข้าออก” จดหมายดังกล่าวระบุ สาเหตุของการที่จำเป็นต้องยกเลิกสัญญาเนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าหน้าที่ด้านการทูตซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวตกอยู่ในความเสี่ยงด้านความปลอดภัย 

ดีเอสไอ ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2565 ว่า ในเดือนธันวาคม จอห์น หยู รองกงสุลนาอูรูประจำประเทศไทย ได้ทำหนังสือถึงดีเอสไอถึงสองครั้ง เพื่อขอให้ช่วยแก้ไขข้อกังวลของบริษัทผู้ให้เช่า โดยหนังสือฉบับแรกลงวันที่ 9 ธันวาคม ระบุว่า ตนเพิ่งทราบเรื่องเกี่ยวกับการเช่าบ้านพักได้ไม่นานนัก 

“สถานกงสุลพบว่า กงสุลใหญ่ได้ละเมิดระเบียบหลายข้อด้วยการอนุญาตให้คนเอเชีย เชื่อว่าเป็นสัญชาติจีน เข้ามาใช้สถานที่ดังกล่าวใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือไปจากเพื่อเป็นที่พำนักของกงสุลใหญ่ และอาจเป็นเรื่องกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความมั่นคงระหว่างประเทศนูอูรูและประเทศไทย” จดหมายข่าวของดีเอสไอระบุ 

“การเข้าออกที่พักตลอดทั้งวันกลายเป็นสิ่งที่ผิดสังเกต และเป็นการรบกวนเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สถานทูตของประเทศอื่น ๆ ที่พักอาศัยใกล้เคียงกัน”​

 

นนทรัฐ ไผ่เจริญ ในกรุงเทพ ร่วมรายงาน

 

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง