ชูวิทย์ประกาศสงครามต้านการคอร์รัปชัน-กัญชาเสรีก่อนเลือกตั้ง

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2023.04.14
กรุงเทพฯ
ชูวิทย์ประกาศสงครามต้านการคอร์รัปชัน-กัญชาเสรีก่อนเลือกตั้ง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินสายแคมเปญต่อต้านนักการเมืองที่คอร์รัปชันและโจมตีนโยบายกัญชาเสรี ที่ย่านถนนสุขมวิท กรุงเทพฯ วันที่ 29 มีนาคม 2566
วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช/เบนาร์นิวส์

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าพ่ออาบอบนวด เดินสายจัดหนักแคมเปญต่อต้านนักการเมืองที่คอร์รัปชัน และโจมตีนโยบายกัญชาเสรี ในขณะที่พรรคการเมืองต่าง ๆ กำลังรณรงค์ขอการสนับสนุนจากประชาชนในระหว่างการหาเสียงก่อนการเลือกตั้งในกลางเดือนพฤษภาคมนี้

นายชูวิทย์ ซึ่งผันตัวเองจากนักธุรกิจสีเทามาเป็นนักการเมือง และยังเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ “ชูวิทย์ตีแสกหน้า” เป็นที่รู้จักกันในนาม “จอมแฉ” ที่ออกมาเปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชันและทุนจีนสีเทาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ให้สัมภาษณ์กับเบนาร์นิวส์ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับระบบการคอร์รัปชันที่ร้ายแรงเหมือนมะเร็ง ทำให้ตนจำเป็นต้องออกมาตะโกนต่อต้านการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง

“ระบบคอร์รัปชันในประเทศไทยมันร้ายแรง เปรียบเทียบได้กับมะเร็งที่ผมบอกได้เลยว่ามันอยู่ในขั้นสุดท้าย และไม่มีทางเยียวยา” นายชูวิทย์ กล่าวกับเบนาร์นิวส์

“อยู่ในขั้นที่เรียกว่าประคับประคองร่างกายให้ไปวันต่อวัน ๆ ทั้งการเมือง ทั้งธุรกิจ ทั้งระบบราชการตำรวจ และระบบข้าราชการโดยทั่วไป”

หลังจากที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยุบสภาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ ออกเดินสายทำสงครามต่อต้านการคอร์รัปชันและนโยบายกัญชาเสรีไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ ด้วยการแจกสติกเกอร์ เข็มกลัด และเสื้อยืด สกรีนข้อความ “ไม่เอาคอร์รัปชัน” และ “ต่อต้านกัญชาเสรี” พร้อมกับเดินเท้าพบปะปราศรัยกับประชาชนด้วยเสียงที่ห้าวหาญผสมการแสยะยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์

นายชูวิทย์ ในวัย 61 ปี ดูผ่ายผอมไปกว่าเมื่อก่อน แต่ยังแต่งตัวสมาร์ทด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว ปักชื่อนามสกุลด้วยตัวหนังสือสีแดงที่อกด้านขวา ใต้ชื่อปักข้อความ “ต่อต้านกัญชาเสรี” ด้วยตัวหนังสือสีเขียว ใส่แว่นตาดำ ยืนปราศรัยกลางแสงแดดร้อนจ้าริมถนนสุขุมวิท กลางใจเมืองกรุงเทพมหานคร ในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ประชาชนจำนวนมากยืนรอสองข้างทาง รอรับเข็มกลัด และเสื้อยืดต่อต้านกัญชาเสรี

นายชูวิทย์ กล่าวกับประชาชนนับร้อยที่มารอพบว่า นโยบายกัญชาเสรีที่พรรคภูมิใจไทยเป็นผู้เสนอส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก เพราะ 170 ประเทศทั่วโลกยังถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติด การออกกฎหมายปลดล็อกทำให้กัญชาถูกกฎหมาย เป็นการแก้กฎกระทรวงและยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา

“การปลดล็อกกัญชา มีวัตถุประสงค์เดียวคือ ให้กัญชาเสรี แต่ไม่ใช่ทางการแพทย์ ผมมั่นใจว่าทางการแพทย์ใช้ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ แต่เพื่อใช้ในทางสันทนาการมากกว่า” นายชูวิทย์กล่าว พร้อมระบุว่า ปัจจุบันนี้ มีรถตู้ขายกัญชาพันลำ ขายพร้อมสูบในย่านสุขุมวิทซอย 11, ถนนข้าวสาร และตามที่ต่าง ๆ ทั่วไป

“นี่เป็นตัวอย่างของการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย พรรคการเมืองจะนำเงินที่ได้จากการคอร์รัปชันเข้าสู่ระบบการเมือง ด้วยการใช้เงินราว 40–50 ล้านบาทไปซื้อตัว ส.ส. เขตในต่างจังหวัดให้มาสังกัดพรรคการเมือง เมื่อได้รับเลือกตั้งก็จะนำจำนวน ส.ส. ไปต่อรองเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลและใช้อำนาจในทางที่ผิด” นายชูวิทย์ เปิดเผยกับเบนาร์นิวส์

“นี่คือวงจรของคอร์รัปชันที่ร้ายแรง อย่าไปเลือกพรรคบ้ากัญชา” นายชูวิทย์ ตะโกนผ่านเครื่องขยายเสียงบอกกับผู้ฟังสองข้างทาง

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอให้คุ้มครองชั่วคราวให้นายชูวิทย์หยุดพูดเรื่องกัญชาในลักษณะการให้ร้าย ก่อให้เกิดความเสียหาย แต่ในท้ายที่สุดศาลยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่านายชูวิทย์ได้แสดงความเห็นทางการแพทย์ ให้ประชาชนได้รับทราบถึงประโยชน์และโทษต่อสุขภาพ

นางสาวเปรี้ยว ดาวใจ อายุ 36 ปี ระบุว่าตนเป็นแฟนคลับนายชูวิทย์ ต้องการมาให้กำลังใจ และรอรับแจกเสื้อ

“ชอบและชื่นชมในสิ่งที่คุณชูวิทย์ทำอยู่ ต้องมีคนแบบคุณชูวิทย์ออกมาค่ะ” น.ส. เปรี้ยวระบุ “การจะแก้คอร์รัปชันมันยาก เพราะว่ามันมีทุกที่ การคอร์รัปชันอาจจะไม่ได้กระทบกับชีวิตโดยตรง แต่มันกระทบทางอ้อม และรู้สึกว่ามันมีมากขึ้นเรื่อย ๆ”

2011-06-30 THAILAND-ELECTION-MASSAGE.JPG

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าพ่ออาบอบนวด หาเสียงกับสาวบาร์เบียร์ในย่านพัฒน์พงศ์ เมื่อครั้งลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส. ในนามพรรครักประเทศไทย วันที่ 21 มิถุนายน 2554 (ดาเมียร์ ซาโกลจ์/รอยเตอร์)

เจ้าพ่ออ่างสู่นักต้านคอร์รัปชัน

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เกิดที่ฮ่องกง แต่เติบโตในย่านเยาวราช เป็นนักธุรกิจกลางคืนในชื่อเครือ Davis Group ในปี 2546 นายชูวิทย์ ตกเป็นจำเลยในข้อหาสั่งรื้อบาร์เบียร์ย่านสุขุมวิท และถูกศาลอาญาพิพากษาลงโทษให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี ในปี 2559 ซึ่งนายชูวิทย์ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนขณะนั้นว่า เขาถูกจับเพราะไม่ยอมจ่ายส่วย หลังจากที่เขารับโทษและออกจากเรือนจำ นายชูวิทย์ขายหุ้นในธุรกิจอาบอบนวด อำลาวงการธุรกิจสีเทา ประกาศสงครามต่อต้านการคอร์รัปชันและส่วยต่าง ๆ

“ผมเป็นคนพูดตรง ๆ เมื่อผมทำธุรกิจสีเทา สีเทาคืออาบอบนวด สีเทาคือผมต้องจ่ายทุกวัน ๆ จนวันหนึ่งผมรู้สึกว่าผมเบื่อในการจ่าย ผมจึงพูดว่า Enough is Enough พอกันซะที จบกันซะที” นายชูวิทย์ เล่าให้เบนาร์นิวส์ฟังถึงสาเหตุที่เขาต้องล้างมือในอ่างทองคำ

นายชูวิทย์ กล่าวต่อด้วยว่า แม้แต่การทำธุรกิจสีขาวในประเทศไทยก็ยังต้องจ่าย เรียกว่าการจ่ายตามน้ำ “การจ่ายตามน้ำเป็นการจ่ายที่ระบบมีขั้นตอน เป็นการจ่ายในการดูแลเจ้าหน้าที่เพื่อให้คุณได้รับอนุญาต”

ในสนามการเมือง นายชูวิทย์ได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่สอบตกในสนามเข้าชิงการเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ในปี 2547 

ในบทบาทของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขาเป็นผู้นำคลิปวิดีโอมาเปิดประกอบการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเปิดโปงเรื่องบ่อนการพนันและการรับสินบนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนทำให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ในเวลานั้น) หลุดออกจากตำแหน่ง จนกระทั่งปี 2561 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุกชูวิทย์ เป็นเวลา 1 เดือน จากการจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิด ทำให้นายชูวิทย์สูญเสียอิสรภาพเป็นครั้งที่สอง

AP11071913601.jpg

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หยิบมีดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาตั้งท่าสาบานจะต่อสู้กับการคอร์รัปชันที่หน้าทำเนียบรัฐบาล วันที่ 21 กรกฎาคม 2554 (อภิชาติ วีระวงศ์/เอพี)

“ผมไม่ใช่คนดี”

เมื่อปลายปีที่แล้ว นายชูวิทย์เปิดโปงเรื่องธุรกิจทุนจีนสีเทาของ นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว ซึ่งเป็นคนจีนที่ได้สัญชาติไทยจากการแต่งงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงไทย ต่อมามีการขยายเครือข่ายเกี่ยวข้องกับยาเสพติด สถานบันเทิง บ่อนการพนัน ฟอกเงิน ลักษณะเป็นอาชญากรรมข้ามชาติเชื่อมโยงเจ้าหน้าที่รัฐ และพรรคมีสายสัมพันธ์กับการเมือง

“ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่รัฐบาลจะไม่คอร์รัปชัน เหตุที่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าเมื่อคุณมีพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อเขาซื้อ (นักการเมือง) เข้ามา เขาก็ต้องการทำกำไรกลับ วงจรนี้มันเป็นวงจรคอร์รัปชัน” นายชูวิทย์ กล่าว

“การต่อต้านคอร์รัปชันมันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในยุคสมัยผม แต่ผมเชื่อว่าผมได้จุดประกายให้สังคมได้เห็นว่าเราจำเป็นอย่างยิ่ง และมันถึงเวลาแล้วที่เราต้องต่อต้านการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง” นายชูวิทย์ กล่าวกับเบนาร์นิวส์

นายชูวิทย์ มักจะปรากฏตัวไปตามสถานที่ต่าง ๆ เดินถนนพบปะประชาชน ขึ้นรถขยายเสียง เปิดแถลงข่าวริมถนน ริมทางเท้า พร้อมกับโต๊ะก๋วยเตี๋ยวสีแดงที่เป็นสัญญลักษณ์ และกระดานสำหรับวาดผังเครือข่ายความเชื่อมโยงการคอร์รัปชัน

นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนคือตัวแทนภาคประชาชนที่ต้องออกมาตะโกนว่าเรารู้เท่าทันนักการเมือง และจดจำสิ่งที่นักการเมืองพูดได้ นายชูวิทย์เชื่อว่าถ้าภาคประชาชนเข้มแข็ง ประชาชนจัดการพรรคการเมืองได้ ประชาชนสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในหมู่นักการเมืองได้ เมื่อนั้นประชาชนจะชนะ และการคอร์รัปชันจะลดน้อยลง

“ผมไม่ใช่คนดี จะเรียกผมว่าโจรก็คงไม่ใช่ เรียกผมว่ามหาโจร” นายชูวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย พร้อมย้ำว่าตนไม่ใช่ฮีโร่ และไม่ต้องการเป็นฮีโร่

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง