ชูวิทย์ประกาศสงครามต้านการคอร์รัปชัน-กัญชาเสรีก่อนเลือกตั้ง
2023.04.14
กรุงเทพฯ
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าพ่ออาบอบนวด เดินสายจัดหนักแคมเปญต่อต้านนักการเมืองที่คอร์รัปชัน และโจมตีนโยบายกัญชาเสรี ในขณะที่พรรคการเมืองต่าง ๆ กำลังรณรงค์ขอการสนับสนุนจากประชาชนในระหว่างการหาเสียงก่อนการเลือกตั้งในกลางเดือนพฤษภาคมนี้
นายชูวิทย์ ซึ่งผันตัวเองจากนักธุรกิจสีเทามาเป็นนักการเมือง และยังเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ “ชูวิทย์ตีแสกหน้า” เป็นที่รู้จักกันในนาม “จอมแฉ” ที่ออกมาเปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชันและทุนจีนสีเทาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ให้สัมภาษณ์กับเบนาร์นิวส์ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับระบบการคอร์รัปชันที่ร้ายแรงเหมือนมะเร็ง ทำให้ตนจำเป็นต้องออกมาตะโกนต่อต้านการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง
“ระบบคอร์รัปชันในประเทศไทยมันร้ายแรง เปรียบเทียบได้กับมะเร็งที่ผมบอกได้เลยว่ามันอยู่ในขั้นสุดท้าย และไม่มีทางเยียวยา” นายชูวิทย์ กล่าวกับเบนาร์นิวส์
“อยู่ในขั้นที่เรียกว่าประคับประคองร่างกายให้ไปวันต่อวัน ๆ ทั้งการเมือง ทั้งธุรกิจ ทั้งระบบราชการตำรวจ และระบบข้าราชการโดยทั่วไป”
หลังจากที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยุบสภาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ ออกเดินสายทำสงครามต่อต้านการคอร์รัปชันและนโยบายกัญชาเสรีไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ ด้วยการแจกสติกเกอร์ เข็มกลัด และเสื้อยืด สกรีนข้อความ “ไม่เอาคอร์รัปชัน” และ “ต่อต้านกัญชาเสรี” พร้อมกับเดินเท้าพบปะปราศรัยกับประชาชนด้วยเสียงที่ห้าวหาญผสมการแสยะยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์
นายชูวิทย์ ในวัย 61 ปี ดูผ่ายผอมไปกว่าเมื่อก่อน แต่ยังแต่งตัวสมาร์ทด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว ปักชื่อนามสกุลด้วยตัวหนังสือสีแดงที่อกด้านขวา ใต้ชื่อปักข้อความ “ต่อต้านกัญชาเสรี” ด้วยตัวหนังสือสีเขียว ใส่แว่นตาดำ ยืนปราศรัยกลางแสงแดดร้อนจ้าริมถนนสุขุมวิท กลางใจเมืองกรุงเทพมหานคร ในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ประชาชนจำนวนมากยืนรอสองข้างทาง รอรับเข็มกลัด และเสื้อยืดต่อต้านกัญชาเสรี
นายชูวิทย์ กล่าวกับประชาชนนับร้อยที่มารอพบว่า นโยบายกัญชาเสรีที่พรรคภูมิใจไทยเป็นผู้เสนอส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก เพราะ 170 ประเทศทั่วโลกยังถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติด การออกกฎหมายปลดล็อกทำให้กัญชาถูกกฎหมาย เป็นการแก้กฎกระทรวงและยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
“การปลดล็อกกัญชา มีวัตถุประสงค์เดียวคือ ให้กัญชาเสรี แต่ไม่ใช่ทางการแพทย์ ผมมั่นใจว่าทางการแพทย์ใช้ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ แต่เพื่อใช้ในทางสันทนาการมากกว่า” นายชูวิทย์กล่าว พร้อมระบุว่า ปัจจุบันนี้ มีรถตู้ขายกัญชาพันลำ ขายพร้อมสูบในย่านสุขุมวิทซอย 11, ถนนข้าวสาร และตามที่ต่าง ๆ ทั่วไป
“นี่เป็นตัวอย่างของการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย พรรคการเมืองจะนำเงินที่ได้จากการคอร์รัปชันเข้าสู่ระบบการเมือง ด้วยการใช้เงินราว 40–50 ล้านบาทไปซื้อตัว ส.ส. เขตในต่างจังหวัดให้มาสังกัดพรรคการเมือง เมื่อได้รับเลือกตั้งก็จะนำจำนวน ส.ส. ไปต่อรองเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลและใช้อำนาจในทางที่ผิด” นายชูวิทย์ เปิดเผยกับเบนาร์นิวส์
“นี่คือวงจรของคอร์รัปชันที่ร้ายแรง อย่าไปเลือกพรรคบ้ากัญชา” นายชูวิทย์ ตะโกนผ่านเครื่องขยายเสียงบอกกับผู้ฟังสองข้างทาง
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอให้คุ้มครองชั่วคราวให้นายชูวิทย์หยุดพูดเรื่องกัญชาในลักษณะการให้ร้าย ก่อให้เกิดความเสียหาย แต่ในท้ายที่สุดศาลยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่านายชูวิทย์ได้แสดงความเห็นทางการแพทย์ ให้ประชาชนได้รับทราบถึงประโยชน์และโทษต่อสุขภาพ
นางสาวเปรี้ยว ดาวใจ อายุ 36 ปี ระบุว่าตนเป็นแฟนคลับนายชูวิทย์ ต้องการมาให้กำลังใจ และรอรับแจกเสื้อ
“ชอบและชื่นชมในสิ่งที่คุณชูวิทย์ทำอยู่ ต้องมีคนแบบคุณชูวิทย์ออกมาค่ะ” น.ส. เปรี้ยวระบุ “การจะแก้คอร์รัปชันมันยาก เพราะว่ามันมีทุกที่ การคอร์รัปชันอาจจะไม่ได้กระทบกับชีวิตโดยตรง แต่มันกระทบทางอ้อม และรู้สึกว่ามันมีมากขึ้นเรื่อย ๆ”
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าพ่ออาบอบนวด หาเสียงกับสาวบาร์เบียร์ในย่านพัฒน์พงศ์ เมื่อครั้งลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส. ในนามพรรครักประเทศไทย วันที่ 21 มิถุนายน 2554 (ดาเมียร์ ซาโกลจ์/รอยเตอร์)
เจ้าพ่ออ่างสู่นักต้านคอร์รัปชัน
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เกิดที่ฮ่องกง แต่เติบโตในย่านเยาวราช เป็นนักธุรกิจกลางคืนในชื่อเครือ Davis Group ในปี 2546 นายชูวิทย์ ตกเป็นจำเลยในข้อหาสั่งรื้อบาร์เบียร์ย่านสุขุมวิท และถูกศาลอาญาพิพากษาลงโทษให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี ในปี 2559 ซึ่งนายชูวิทย์ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนขณะนั้นว่า เขาถูกจับเพราะไม่ยอมจ่ายส่วย หลังจากที่เขารับโทษและออกจากเรือนจำ นายชูวิทย์ขายหุ้นในธุรกิจอาบอบนวด อำลาวงการธุรกิจสีเทา ประกาศสงครามต่อต้านการคอร์รัปชันและส่วยต่าง ๆ
“ผมเป็นคนพูดตรง ๆ เมื่อผมทำธุรกิจสีเทา สีเทาคืออาบอบนวด สีเทาคือผมต้องจ่ายทุกวัน ๆ จนวันหนึ่งผมรู้สึกว่าผมเบื่อในการจ่าย ผมจึงพูดว่า Enough is Enough พอกันซะที จบกันซะที” นายชูวิทย์ เล่าให้เบนาร์นิวส์ฟังถึงสาเหตุที่เขาต้องล้างมือในอ่างทองคำ
นายชูวิทย์ กล่าวต่อด้วยว่า แม้แต่การทำธุรกิจสีขาวในประเทศไทยก็ยังต้องจ่าย เรียกว่าการจ่ายตามน้ำ “การจ่ายตามน้ำเป็นการจ่ายที่ระบบมีขั้นตอน เป็นการจ่ายในการดูแลเจ้าหน้าที่เพื่อให้คุณได้รับอนุญาต”
ในสนามการเมือง นายชูวิทย์ได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่สอบตกในสนามเข้าชิงการเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ในปี 2547
ในบทบาทของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขาเป็นผู้นำคลิปวิดีโอมาเปิดประกอบการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเปิดโปงเรื่องบ่อนการพนันและการรับสินบนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนทำให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ในเวลานั้น) หลุดออกจากตำแหน่ง จนกระทั่งปี 2561 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุกชูวิทย์ เป็นเวลา 1 เดือน จากการจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิด ทำให้นายชูวิทย์สูญเสียอิสรภาพเป็นครั้งที่สอง
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หยิบมีดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาตั้งท่าสาบานจะต่อสู้กับการคอร์รัปชันที่หน้าทำเนียบรัฐบาล วันที่ 21 กรกฎาคม 2554 (อภิชาติ วีระวงศ์/เอพี)
“ผมไม่ใช่คนดี”
เมื่อปลายปีที่แล้ว นายชูวิทย์เปิดโปงเรื่องธุรกิจทุนจีนสีเทาของ นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว ซึ่งเป็นคนจีนที่ได้สัญชาติไทยจากการแต่งงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงไทย ต่อมามีการขยายเครือข่ายเกี่ยวข้องกับยาเสพติด สถานบันเทิง บ่อนการพนัน ฟอกเงิน ลักษณะเป็นอาชญากรรมข้ามชาติเชื่อมโยงเจ้าหน้าที่รัฐ และพรรคมีสายสัมพันธ์กับการเมือง
“ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่รัฐบาลจะไม่คอร์รัปชัน เหตุที่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าเมื่อคุณมีพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อเขาซื้อ (นักการเมือง) เข้ามา เขาก็ต้องการทำกำไรกลับ วงจรนี้มันเป็นวงจรคอร์รัปชัน” นายชูวิทย์ กล่าว
“การต่อต้านคอร์รัปชันมันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในยุคสมัยผม แต่ผมเชื่อว่าผมได้จุดประกายให้สังคมได้เห็นว่าเราจำเป็นอย่างยิ่ง และมันถึงเวลาแล้วที่เราต้องต่อต้านการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง” นายชูวิทย์ กล่าวกับเบนาร์นิวส์
นายชูวิทย์ มักจะปรากฏตัวไปตามสถานที่ต่าง ๆ เดินถนนพบปะประชาชน ขึ้นรถขยายเสียง เปิดแถลงข่าวริมถนน ริมทางเท้า พร้อมกับโต๊ะก๋วยเตี๋ยวสีแดงที่เป็นสัญญลักษณ์ และกระดานสำหรับวาดผังเครือข่ายความเชื่อมโยงการคอร์รัปชัน
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนคือตัวแทนภาคประชาชนที่ต้องออกมาตะโกนว่าเรารู้เท่าทันนักการเมือง และจดจำสิ่งที่นักการเมืองพูดได้ นายชูวิทย์เชื่อว่าถ้าภาคประชาชนเข้มแข็ง ประชาชนจัดการพรรคการเมืองได้ ประชาชนสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในหมู่นักการเมืองได้ เมื่อนั้นประชาชนจะชนะ และการคอร์รัปชันจะลดน้อยลง
“ผมไม่ใช่คนดี จะเรียกผมว่าโจรก็คงไม่ใช่ เรียกผมว่ามหาโจร” นายชูวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย พร้อมย้ำว่าตนไม่ใช่ฮีโร่ และไม่ต้องการเป็นฮีโร่