ศาลสั่งคุกบัสบาสอีก 4 ปี 6 เดือน
2024.09.04
กรุงเทพฯ
ศาลจังหวัดเชียงรายอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุกนายมงคล ถิระโคตร หรือบัสบาส พ่อค้าเสื้อผ้าและนักกิจกรรมชาวเชียงราย เป็นเวลา 4 ปี 6 เดือน จากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการเขียนข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวระหว่างวันที่ 28-30 กรกฎาคม 2565 ทำให้บัสบาสถูกตัดสินโทษจำคุกในคดี ม. 112 รวม 54 ปี 6 เดือน ซึ่งเป็นการตัดสินโทษจำคุกคดี ม. 112 ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์
“ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาคดี ม. 112 คดีที่สามของ "บัสบาส" จำคุก 4 ปี 6 เดือน โดยวันนี้เป็นการอ่านคำพิพากษาทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ หากรวมทั้งสามคดี บัสบาสถูกลงโทษจำคุกไปแล้ว 54 ปี 6 เดือน นับเป็นผู้ถูกลงโทษด้วยข้อหา ม. 112 สูงที่สุดเท่าที่ทราบข้อมูล” ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุ
คดีนี้ พ.ต.ต. ปราโมทย์ บุญตันบุตร สารวัตรสืบสวน สถานีภูธรจังหวัดเชียงราย เป็นผู้กล่าวหาบัสบาสว่า การเขียนข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 28 และ 30 กรกฎาคม 2565 อาจเข้าข่ายขัดต่อ ม. 112 และ พรบ. คอมพิวเตอร์ โดยในชั้นสอบสวน บัสบาสให้การปฏิเสธ โดยยืนยันว่า การเขียนข้อความดังกล่าวเป็นข้อความในลักษณะล้อเลียน ไม่น่าเป็นความผิดตาม ม. 112
ต่อมาในวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ศาลจังหวัดเชียงรายพิพากษาว่า บัสบาสมีความผิดตามฟ้อง 2 กรรม ให้ลงโทษจำคุกกรรมละ 3 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดโทษให้หนึ่งในสาม เหลือจำคุกกรรมละ 2 ปี
และให้ลงโทษจำคุกอีก 6 เดือน จากการที่บัสบาสบุกรุกศาลจังหวัดเชียงราย รวมจำคุก 4 ปี 6 เดือน โดยศาลให้นับโทษต่อจากโทษจำคุกคดีอื่นๆ หลังจากนั้น บัสบาสได้อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว กระทั่งศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาในวันพุธนี้
“จำเลยยอมรับว่าข้อความตามฟ้องสื่อถึงองค์พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 และเมื่อพิจารณาข้อความและภาพ เห็นว่าเป็นการกล่าวด้วยถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งกับบุคคลทั่วไปก็ไม่สมควรกล่าวด้วยถ้อยคำเช่นนี้ ข้อความและภาพมีความหมายโดยไม่จำต้องอธิบายเข้าใจได้ว่า จำเลยต่อว่ารัชกาลที่ 10 ในลักษณะเป็นการเหยียดหยาม ใส่ความเพื่อให้ผู้อ่านคล้อยตาม เป็นการทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ” คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ระบุ
ม. 112 สามคดีของบัสบาส
บัสบาส ชาวจังหวัดเชียงราย ปัจจุบัน อายุ 30 ปี เป็นที่รู้จักจากการอดอาหารประท้วงเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักกิจกรรมทางการเมือง และผู้ต้องขังคดี ม. 112 ที่หน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเดือนเมษายน 2564 ระหว่างการอดอาหาร บัสบาสถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว ในข้อหา ม. 112
ในวันที่ 26 มกราคม 2566 ศาลจังหวัดเชียงรายพิพากษา คดี ม. 112 คดีที่หนึ่งของบัสบาสว่า มีความผิดฐานฝ่าฝืน ม. 112 ใน 14 ข้อความ จาก 27 ข้อความที่ถูกฟ้อง ให้ลงโทษข้อความละ 3 ปี ก่อนลดโทษเหลือข้อความละ 2 ปี รวมจำคุก 28 ปี
ต่อมาคดีที่สอง อัยการได้อุทธรณ์ 13 ข้อความที่ถูกยกฟ้องจากคดีที่หนึ่ง และวันที่ 18 มกราคม 2567 ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษ 11 ข้อความ จาก 13 ข้อความดังกล่าว โดยให้จำคุกข้อความละ 2 ปี รวมจำคุก 22 ปี
เมื่อรวมกับโทษจำคุกคดีที่สามในวันพุธนี้อีก 4 ปี 6 เดือน ศูนย์ทนายฯ ระบุว่า “หากรวมทั้งสามคดี บัสบาสถูกลงโทษจำคุกไปแล้ว 54 ปี 6 เดือน นับเป็นผู้ถูกลงโทษด้วยข้อหา ม. 112 สูงที่สุดเท่าที่ทราบข้อมูล”
“ปัจจุบัน น่าตั้งคำถามว่า ม. 112 เข้าข่ายเป็นกฎหมายละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน และถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของบางกลุ่มบางฝ่ายหรือไม่ และความเย็นชาหรือการที่รัฐบาลเพิกเฉยเรื่องนี้ มันก็แสดงให้เห็นจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลไทยด้วยเช่นกัน” น.ส. พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวกับเบนาร์นิวส์
การเคลื่อนไหวของบัสบาส เป็นส่วนหนึ่งของการชุมนุมที่มีข้อเรียกร้องให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ลาออกจากตำแหน่ง แก้ไขรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2563 กระแสการชุมนุมดังกล่าว ทำให้เกิดการชุมนุมขึ้นหลายร้อยครั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดต่อเนื่องยาวนานร่วม 3 ปี
ต่อคดีนี้ ผศ. ปิยพงษ์ พิมพลักษณ์ สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชี้ว่า ผลคำพิพากษาสะท้อนเรื่องเสรีภาพ และกระบวนการยุติธรรมของไทยอย่างชัดเจน
“การสั่งจำคุกครั้งนี้นับว่าเป็นระยะเวลายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของมาตรานี้เลย ในแง่หนึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มงวด แต่ขณะเดียวกันก็ถูกมองว่า เป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเสรีภาพการแสดงออกและเป็นความท้าทายต่อหลักสิทธิมนุษยชนและกระบวนการยุติธรรมของไทย” ผศ. ปิยพงษ์ กล่าว
ศูนย์ทนายฯ ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 มีประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากสถานการณ์ชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองไปแล้วอย่างน้อย 1,954 คน ในจำนวน 1,299 คดี ในนั้นเป็นคดี ม. 112 อย่างน้อย 272 คน จาก 304 คดี นำมาซึ่งการเรียกร้องให้ ยกเลิก หรือแก้ไข ม. 112
“ความท้าทายของการแก้ปัญหานี้คือ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการแก้ไขกฎหมาย การสร้างความเข้าใจในสังคม การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และการส่งเสริมการเจรจาทางการเมือง เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการปกป้องสถาบันและการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่เพิ่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้ อาจเป็นความหวังใหม่สำหรับการแก้ไขปัญหาการใช้กฎหมายนี้ก็ได้” ผศ. ปิยพงษ์ ระบุ
นนทรัฐ ไผ่เจริญ ในกรุงเทพฯ ร่วมรายงาน