จีน-ไทยร่วมเพิ่มความพยายามปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ
2023.10.19
กรุงเทพฯ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้พบร่วมหารือกับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันพฤหัสบดีนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมป้องกันและเพิ่มความพยายามในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะยาเสพติด การค้ามนุษย์ การพนันออนไลน์ ขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ ดิจิทัล และโทรคมนาคม การฟอกเงิน และการก่อการร้าย ทั้งไทยหวังเชิญชวนภาคธุรกิจจีนให้มาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น
นายเศรษฐา เดินทางไปยังประเทศจีนเพื่อร่วมการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation - BRF) ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 16-19 ตุลาคม 2566 โดยนอกจากการร่วมประชุมยังได้พบกับผู้บริหารภาคธุรกิจของจีน และนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียอีกด้วย
“นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีจีนยืนยันสานต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่มีมายาวนาน ตามประโยคที่ว่า จีน-ไทย ใช่อื่นไกล พี่น้องกัน พร้อมเน้นย้ำความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านไทย-จีน ที่ใกล้ชิด การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และมุ่งสู่วาระการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปี 2568” นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย
“เห็นพ้องการเพิ่มพูนการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ พลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bioeconomy, Circular economy and Green economy) ของไทย ทั้งนี้ ไทยยังเห็นความสำคัญของนักลงทุนจีน ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาจีนเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับแรกของไทย” นายชัย กล่าว
นายชัย ระบุว่า จีนยืนยันความร่วมมือกับไทยในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และส่งผลต่อการทำธุรกิจที่ผิดกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้านของไทย โดยร่วมกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ การพนันออนไลน์ การค้ามนุษย์ และยาเสพติด รวมทั้งทำงานร่วมกันภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong - Lancang Cooperation: MLC) อาเซียน-จีน และสหประชาชาติเพื่อส่งเสริมการพัฒนาภูมิภาคและโลก
ก่อนการพบกับนายสี นายกรัฐมนตรีไทยยังได้ปาฐกถา ในงานสัมมนา Thailand - China Investment Forum ระบุว่า รัฐบาลมีแผนจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเชื่อมการขนส่งไทยกับจีนยกระดับการค้าระหว่างกัน ไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Made in China 2025 ของจีน
“หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การค้าไทย-จีนจะขยายตัวมากยิ่งขึ้น และอยากให้จีนซื้อสินค้าจากประเทศไทยมากขึ้นรวมถึงการลงทุนในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า(EV) รัฐบาลพร้อมสนับสนุนผู้ลงทุนจากจีน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ซึ่งรัฐบาลพร้อมอำนวยความสะดวกและดูแลนักลงทุนจีน” นายเศรษฐา ระบุ
นายเศรษฐา ได้หารือกับตัวแทนบริษัทเอกชนของจีนหลายบริษัท เช่น Alibaba, Huawei, Tencent, Xiaomi รวมถึงนักธุรกิจจีนอีกกว่า 50 คน เพื่อเชิญชวนให้มาลงทุนในประเทศไทยและร่วมมือทางธุรกิจ
นายเศรษฐา ยังได้หารือทวิภาคีกับ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันพุธ โดยไทยและจีนได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ ประกอบด้วย 1. การจัดตั้งกลไกประสานงานสำหรับการร่วมกันส่งเสริมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง 2. ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล 3. การจัดทำพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดสุขอนามัยพืชสำหรับการส่งออกผลเสาวรสสดจากไทยไปยังจีน 4. แผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรม สำหรับปี 2566 - 2570 5. ความร่วมมือด้านภาพยนตร์ และ 6. ความร่วมมือด้านสื่อสารมวลชนและสารสนเทศ
นายเศรษฐาได้เปิดเผยว่า มีการหารือกับนายกรัฐมนตรีจีนถึงการแก้ไขปัญหาเรื่องเครื่องยนต์เรือดำน้ำที่ไทยจะซื้อจากจีนอีกด้วย
“เรื่องเรือดำน้ำ มีการพูดคุยว่าจะมีการแก้ไขปัญหากันอย่างบูรณาการ ท่าน (นายหลี่ เฉียง) ก็รับปากว่าจะไปช่วยดูให้ ท่านรัฐมนตรีกลาโหม ท่านสุทิน (คลังแสง) เอง ก็พูดคุยอยู่กับกองทัพจีนด้วย” นายเศรษฐา กล่าวต่อสื่อมวลชน
นอกจากนี้ นายเศรษฐายังได้กล่าวถ้อยแถลงความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับจีน โดยไทยมีมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีน ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 - 29 กุมภาพันธ์ 2567 และลงนามความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับรัฐบาล รวมถึงบริษัทเอกชนของจีน ประกอบด้วย Huawei, Ctrip, Meituan, Alipay, Spring Airline, Xinhua Net, iQIYI และ JekoTrip
ไทยคงวางตัวเป็นกลาง
ในการพบผู้นำจีนครั้งนี้ ผศ.ดร. โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ชี้ว่า การพยายามเดินหน้าพบปะ และเจรจากับผู้นำและนักธุรกิจต่างประเทศของ นายเศรษฐา เป็นความพยายามแสดงภาวะผู้นำและความสามารถด้านเศรษฐกิจ และไทยน่าจะวางตัวเป็นกลาง ไม่โน้มหาจีนเต็มที่
“เชื่อว่า คุณเศรษฐาพยายามแสดงภาวะผู้นำ เพราะถูกวิจารณ์ว่าเข้าสู่อำนาจเพราะการอุปโลกน์ของคุณทักษิณ ชินวัตร จึงพยายามแสดงความสามารถในการดำเนินกิจกรรมด้านการเมืองระหว่างประเทศในฐานะผู้นำระดับโลก และด้วยเงื่อนไขสถานการณ์เศรษฐกิจการเมืองโลก อิทธิพลของจีนในการเมืองโลกที่เริ่มขยายมิติทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และมิติต่าง ๆ ทั้งไทยยังเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในการวางเส้นทางสายไหมของจีน ไทยจึงไม่มีทางเลือกมากนักในนโยบายการต่างประเทศ” ผศ.ดร. โอฬาร กล่าว
“แต่เชื่อว่า ไทยจะไม่โน้มเอียงหาจีน 100 เปอร์เซ็นต์ และจะเห็นการพยายามวางตัวเป็นกลาง เพราะอเมริกาก็น่าจะเฝ้าสังเกตไทยเป็นพิเศษ เพราะเห็นได้ชัดว่า ไทยยกระดับการลงทุนและความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งการดำเนินนโยบายเช่นนี้ ลำดับแรกนักลงทุน และภาคธุรกิจไทยจะได้รับผลประโยชน์จากความพยายามสานสัมพันธ์กับต่างชาติ ส่วนประชาชนน่าจะต้องรออีกระยะหนึ่งจึงจะได้รับผลกระทบทางบวก เช่นการจ้างงาน” ผศ.ดร. โอฬาร กล่าวเพิ่มเติม
เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2560 กองทัพเรือ (ทร) และบริษัท ไชน่า ชิปบิวดิ้ง แอนด์ ออฟชอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (China Shipbuilding & Offshore International Co., Ltd. – CSOC) ได้ตกลงจ้างสร้างเรือดำน้ำพลังงานดีเซล-ไฟฟ้าแบบ S-26T หนึ่งลำ มูลค่า 13,500 ล้านบาท ในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล และเดือนกันยายน 2561 ได้มีพิธีตัดแผ่นเหล็กเริ่มการก่อสร้าง
ต่อมา การต่อเรือดำน้ำเจอปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ โดยข้อตกลงเดิม ทร. ต้องการเครื่องยนต์แบบ MTU396 ที่ผลิตในเยอรมนี แต่ทางบริษัท CSOC ไม่สามารถจัดหาให้ได้ เพราะสหภาพยุโรปสั่งห้ามประเทศสมาชิกค้าอาวุธกับจีน เพราะจีนเคยปราบปรามการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างรุนแรงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในปักกิ่ง ปี 2532
เมื่อต้นปี 2566 บริษัท CSOC เสนอให้ ทร. เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ CHD620 ซึ่งจีนเป็นผู้ผลิต แต่ยังไม่เคยใช้จริงในเรือดำน้ำ พร้อมกับข้อเสนอการชดเชยอื่น ๆ
หลังเสร็จสิ้นภารกิจที่จีน ระหว่างวันที่ 19-21 ตุลาคม 2566 นายเศรษฐาจะเดินทางต่อไปกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) เข้าเฝ้าเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบียด้วย รวมไปถึงหารือกับภาคเอกชน
คุณวุฒิ บุญฤกษ์ ในเชียงใหม่ ร่วมรายงาน