ไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม 985 ราย สถิติใหม่ที่พบในวันเดียว

นนทรัฐ ไผ่เจริญ
2021.04.12
กรุงเทพฯ
ไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม 985 ราย สถิติใหม่ที่พบในวันเดียว โรงพยาบาลสนามที่ตั้งขึ้น เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ระลอกที่สาม ที่มีการระบาดจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในกรุงเทพฯ วันที่ 12 เมษายน 2564
รอยเตอร์

ในวันจันทร์นี้ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยันเพิ่ม 985 ราย โดยถือเป็นสถิติที่มากที่สุดในการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในหนึ่งวันของไทย ทำลายสถิติเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ยืนยัน วัคซีนซิโนแวค ซึ่งรัฐบาลสั่งเข้ามาฉีดให้กับประชาชนนั้น มีประสิทธิภาพและคุณภาพตามาตรฐาน หลังมีกระแสวิจารณ์ว่า วัคซีนซิโนแวคไม่ได้มาตรฐานองค์การอนามัยโลก

นพ.โอภาส เปิดเผยในการแถลงที่กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า การติดเชื้อโควิดข-19 ในประเทศไทยยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การติดเชื้อที่มีความเชื่อมโยงกับสถานบันเทิงในกรุงเทพฯ โดยจำนวนผู้ติดเชื้อ 985 ราย ถือว่ามากที่สุด ในการพบผู้ติดเชื้อในหนึ่งวันของไทย ซึ่งทำลายสถิติเดิมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาที่มีผู้ติดเชื้อ 967 ราย

“ประเทศไทยมีผู้ที่ติดเชื้อวันนี้ในรอบ 24 ชั่วโมง 985 คน มาจากต่างประเทศ 5 คน เป็นการค้นหาเชิงรุก 346 คน และมีผู้ติดเชื้อเข้ามาในระบบบริการสอบสวนควบคุมโรค 634 คน ผู้ที่รักษาหาย 34 คน ไม่มีผู้ติดเชื้อที่เสียชีวิตเพิ่มเติม… เป็นผู้ติดเชื้อกลุ่มสถานบันเทิง สะสม 1,190 ราย” นพ.โอภาส กล่าว

สถิติของกรมควบคุมโรคเปิดเผยว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อสะสม 33,610 ราย มีผู้หายป่วยและกลับบ้านแล้ว 28,248 ราย อยู่ระหว่างรักษาตัว 5,265 ราย เป็นในโรงพยาบาล 4,638 ราย และโรงพยาบาลสนาม 582 ราย ในนั้นมีอาการหนักต้องใส่ท่อช่วยหายใจ 9 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 97 ราย

ต่อประเด็นที่มีการวิพากษ์-วิจารณ์ว่า วัคซีนโควิด-19 ของบริษัท ซิโนแวค ไบออนเทค ประเทศจีน ไม่มีประสิทธิภาพได้มาตรฐาน นพ.โอภาส ยืนยันว่า วัคซีนซิโนแวคนั้นมีประสิทธิภาพแน่นอน และขอให้ประชาชนมั่นใจในการรับวัคซีนของบริษัทนี้

“สำหรับวัคซีนซิโนแวค ซึ่งประเทศไทยได้นำมาฉีดให้กับพี่น้องประชาชน รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขด้วย ก็พบว่า วัคซีนนี้ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่มีประสิทธิภาพที่ยอมรับได้คือ 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป แต่ประสิทธิภาพในการลดอาการเวลาป่วยไม่ให้รุนแรงจนถึงต้องเข้าโรงพยาบาล หรือเสียชีวิต ป้องกันได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้น วัคซีนนี้ถือว่าได้มาตรฐานทั้งเชิงประสิทธิภาพและคุณภาพ” นพ.โอภาส กล่าว

โดยปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้ว 570,052 โดส มีผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกไป 498,791 ราย และ เข็มที่สอง 71,261 ราย

ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจส่วนตัวในวันอาทิตย์ที่ผ่านมายืนยันว่า ภายในปีนี้ ประเทศไทยจะมีวัคซีนเพียงพอครอบคลุมสำหรับประชาชนไทย และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

“กระทรวงสาธารณสุข สั่งซื้อวัคซีนมาให้ประชาชน แล้ว จำนวน 63 ล้านโดส ขณะนี้มาถึงประเทศไทยแล้ว 2.117 ล้านโดส  ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป จะมีวัคซีนให้บริการประชาชนเดือนละ 5-10 ล้านโดส จนครบตามจำนวนที่สั่งซื้อไว้คือ 63 ล้านโดส… สามารถฉีดให้ประชาชน 31.5 ล้านคน ขณะที่ในทางวิชาการ เราต้องฉีดวัคซีนให้ประชาชนประมาณ 40 ล้านคนหรือประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งประเทศ และชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทยอีกจำนวนหนึ่ง” นายอนุทิน ระบุ

“ปีนี้ เราจะต้องใช้วัคซีน จำนวน 80 ล้านโดส สั่งซื้อมาแล้ว 63 ล้านโดส จึงต้องสั่งซื้อวัคซีนสำหรับคนไทยเพิ่มอีกประมาณ 17 ล้านโดส… วัคซีนแอสตราเซเนกาที่กระทรวงสาธารณสุขสั่งซื้อมา 61 ล้านโดส ผู้ผลิตใส่ขวดละ 6.5 ซีซี มาให้จำนวน 6.1 ล้านขวด ซึ่งทีมแพทย์พยาบาลสามารถฉีดให้ผู้รับวัคซีนได้ขวดละ 12 โดส มากกว่าที่กำหนดไว้ถึง 2 โดสต่อขวด ดังนั้น วัคซีนแอสตราเซเนกา 6.1 ล้านขวด หากจัดการให้ดี จะฉีดให้ประชาชนได้เพิ่มขึ้น 12.2 ล้านโดส หรือ 6.1 ล้านคน… จะครอบคลุมประชากรที่ต้องรับวัคซีนได้เกือบทั้งหมด” ตอนหนึ่งของข้อความที่นายอนุทิน เขียน

ขณะที่ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า เตียงสำหรับรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงว่างอยู่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีข้อมูลว่า โรงพยาบาลหลายแห่งขาดแคลนเตียงโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ

“ถามว่าเตียงพอไหม ตอนนี้ทั่วประเทศ ไม่รวมกรุงเทพฯก็เกือบ 2 หมื่นเตียง ถ้ารวมกรุงเทพฯเข้าไปก็ 2.3 หมื่นเตียง… เตียงของโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และฮอสปิเทล (Hospitel) ปัจจุบัน 23,483 เตียง ถูกใช้ 5,226 เตียง และเตียงยังว่าง 18,257 เตียง” นพ.สมศักดิ์ กล่าว

นพ.สมศักดิ์ เตือนให้ประชาชนที่ต้องการไปตรวจเชื้อโควิด-19 ไปตรวจในห้องแล็บที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเพื่่อความมั่นใจในผลการตรวจ

“มีพี่น้องประชาชนหลายคนที่ไปตรวจที่แล็บที่ไม่มีโรงพยาบาล ฝากนิดนึง ช่วยตรวจเช็คว่า แล็บนั้นได้มาตรฐานกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ไหม เพราะเท่าที่เราได้รับข้อมูล มีพี่น้องไปตรวจเช็คแล็บที่ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานพอสมควร ซึ่งตรงนี้ ผลมันอาจไม่ถูกต้อง โดยหลักถ้าไปโรงพยาบาลจะชัดเจนกว่า แต่มีหลายแล็บที่สามารถให้บริการที่มีคุณภาพ ตอนนี้เรากำลังจะมีการให้แล็บเหล่านี้ไปผูกโยงกับโรงพยาบาล เมื่อตรวจพบจะให้ไปโรงพยาบาล” นพ.สมศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 กล่าวในการแถลงข่าวว่า ศาลแขวงพระนครใต้ ได้พิพากษาจำคุก 2 เดือน ไม่รอลงอาญา ผู้จัดการสถานบันเทิงคริสตัลคลับ และเอมเมอรัลย่านทองหล่อ ในข้อหา พ.ร.บ.สถานบริการฯ และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากการสอบสวนโรคพบว่า สถานบันเทิงทั้ง 2 แห่งที่เป็นแหล่งแพร่เชื้อโควิด-19 ระลอกล่าสุด ทำให้ถึงปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อที่เชื่อมโยงกับสถานบันเทิงกว่า 1 พันรายแล้ว

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวที่กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ตัวอย่างเชื้อโควิด-19 ที่พบจากผู้ป่วยในสถานบันเทิงย่านทองหล่อ เป็นเชื้อสายพันธุ์อังกฤษ บี.1.1.7 ซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้เร็วกว่า สายพันธุ์ดั้งเดิมถึง 1.7 เท่า โดยอาการเป็นในลักษณะ อาจจะไม่มีไข้ แต่มีอาการตาแดง น้ำมูกไหล และผื่นแดงขึ้นตามตัว

ซึ่ง นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวกับสำนักข่าวเอพีว่า การติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ระลอกที่สามในประเทศนั้น การควบคุมเป็นไปได้ยากกว่า เพราะส่วนใหญ่เชื้อเป็นสายพันธุ์ที่พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร และส่วนใหญ่ผู้ที่รับเชื้อจะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ คนหนุ่มสาวที่มีไลฟ์สไตล์แอคทีฟ เนื่องจากเกิดการติดเชื้อที่ไนท์คลับและบาร์ หลังจากไปเที่ยวคลับ และมีการเดินทางกลับบ้านเกิด ในช่วงก่อนวันหยุดยาว ทำให้มีการแพร่กระจายเป็นกว้างขวาง 

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง