ไทยห้ามผู้เดินทางจากปากีสถาน บังกลาเทศ และเนปาล เข้าประเทศชั่วคราว
2021.05.10
กรุงเทพฯ
ในวันจันทร์นี้ กระทรวงการต่างประเทศไทย มีคำสั่งให้ระงับการออกหนังสือรับรองการเดินทางของผู้ต้องการเดินทางจากประเทศปากีสถาน บังกลาเทศ และเนปาล มายังประเทศไทย หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียในประเทศไทยรายแรก หลังเดินทางกลับมาจากปากีสถาน
นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยแก่สื่อมวลชนว่า กระทรวงการต่างประเทศมีคำสั่งระงับการออก หนังสือรับรองการเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย (Certificate of Entry-COE) จาก 3 ประเทศเพื่อนบ้านของอินเดีย และให้มีผลทันที
“ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) หารือเกี่ยวกับการพบเชื้อกลายพันธุ์ที่พบครั้งแรกที่อินเดีย ในผู้เดินทางจากปากีสถาน ที่ประชุมขอให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาระงับการออก COE ให้แก่ชาวต่างชาติจากประเทศที่พบเชื้อกลายพันธุ์ ที่พบครั้งแรกที่อินเดีย จำนวนมาก ซึ่ง กต. แจ้งว่า จะระงับการออก COE ให้แก่ชาวต่างชาติจากปากีสถาน บังกลาเทศ และเนปาล ตั้งแต่วันนี้” นายธานี กล่าว
“นอกจากนี้ ชาวต่างชาติที่เดินทางออกจากสี่ประเทศข้างต้น และเปลี่ยนเครื่อง (Transit) ในประเทศอื่น หรือไปท่องเที่ยวหรือผ่านทางไปยังสี่ ประเทศข้างต้น จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศไทยเช่นกัน มาตรการดังกล่าวถือเป็นมาตรการชั่วคราวในช่วงที่ต้องระวังเชื้อกลายพันธุ์ที่พบครั้งแรกที่อินเดีย เข้าประเทศเป็นมาตรการสำหรับชาวต่างชาติทุกสัญชาติจาก 3 ประเทศดังกล่าว แต่ไม่ได้ห้ามคนไทยแต่อย่างใด คนไทยสามารถเดินทางกลับได้” นายธานี ระบุ
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2564 สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี ได้เขียนข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ Royal Thai Embassy, New Delhi ประกาศยกเลิกและระงับการออก หนังสือรับรองการเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย สําหรับผู้ถือหนังสือเดินทางชาติอื่นแล้วเช่นกัน โดยให้มีผล ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564
ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวมีผลสืบเนื่องจาก พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียเป็นรายแรกแล้ว หลังจากเดินทางจากประเทศปากีสถานมายังประเทศไทย
“ผู้เดินทางจากปากีสถานมีการตรวจพบสายพันธุ์ อินเดียนแวเรียนท์เป็นรายแรกของไทย ซึ่งวันนี้กรมควบคุมโรคได้รายงานกรณี หญิงไทย อายุ 42 ปี ตั้งครรภ์ 25 สัปดาห์ด้วย ซึ่งมีภูมิลำเนาก่อนหน้านี้อยู่ที่ปากีสถานเดินทาง มาถึงไทย ตั้งแต่ 24 เมษายน ก่อนเดินทางมีการแวะพักเครื่องที่ดูไบ และจากผู้หญิงเคสนี้ เดินทางมาพร้อมบุตรชาย 3 คน ได้รับการจัดสรรให้อยู่ในสเตทควอรันทีน 26 เมษายน การตรวจโควิด เป็นผลบวก พบยืนยันว่า เป็นสายพันธุ์อินเดีย บี.1.617.1” พญ.อภิสมัย กล่าว
“สายพันธุ์อินเดียนี้มีการระบาดที่อินเดีย ตั้งแต่ตุลาคม 2563 และตอนนี้เริ่มมีรายงานไปยังปากีสถาน บังคลาเทศ และเนปาล อังกฤษ เยอรมนี อเมริกา เอเชียมีรายงานแล้วที่ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และบาห์เรนห์… เที่ยวบินจากอินเดียทั้งหมดตอนนี้เป็นการพาคนไทยกลับบ้าน วันที่ 8 พฤษภาคม มีการเดินทางจากประเทศอินเดียถึงสนามบินสุวรรณภูมิเป็นคนไทยทั้งหมด 94 คน ทุกท่านในที่นี้ได้รับการดูแลในสเตทควอรันทีนทั้งหมด” พญ.อภิสมัย กล่าวเพิ่มเติม
พญ.อภิสมัย ระบุว่า ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อยืนยันเพิ่ม 1,630 ราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสม 85,005 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 22 ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสม 421 ราย ยังมีผู้ป่วยที่รักษาในโรงพยาบาล 29,376 ราย ในนั้นอาการหนัก 1,151 ราย ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ 389 ราย และฉีดวัคซีนโควิด-19ไปแล้ว 1,809,894 โดส เป็นเข็มแรก 1,296,440 ราย และเข็มที่สอง 513,454 ราย
ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ทั่วประเทศมีผู้ลงทะเบียนรอรับวัคซีนโควิด-19 แล้วกว่า 1.5 ล้านคน โดยจังหวัดที่ลงทะเบียนมากที่สุดประกอบด้วย กรุงเทพ 516,282 คน ลำปาง 223,976 คน นนทบุรี 51,113 คน สมุทรปราการ 44,962 คน เชียงใหม่ 43,869 คน และจังหวัดอื่น ๆ
ปัจจุบัน แผนนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทย คือ บริษัท ซิโนแวค ไบออเทค ประเทศจีน 6 ล้านโดส แบ่งเป็นนำเข้ารอบแรก 2 ล้านโดส มูลค่า 1,228 ล้านบาท สั่งซื้อเพิ่มเติมอีก 3.5 ล้านโดส และประเทศจีนบริจาคให้ 5 แสนโดส โดยปัจจุบัน นำเข้ามาแล้ว 3.5 ล้านโดส และเตรียมจะนำเข้าในกลางเดือนและปลายเดือนพฤษภาคม 2564 อีก 2.5 ล้านโดส
บริษัท แอสตราเซเนกา ประเทศสวีเดน/อังกฤษ 61 ล้านโดส โดยจะทยอยจัดส่งในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม - ธันวาคม 2564 การสั่งซื้อแบ่งเป็น 26 ล้านโดส มูลค่า 6,049 ล้านบาท และ 35 ล้านโดส มูลค่า 6,387 พันล้านบาท วัคซีนของแอสตราเซเนกาบางส่วนจะผลิตในประเทศไทย โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ขณะเดียวกันมีการเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยกำลังเจรจาเพื่อนำเข้าวัคซีนจากบริษัท และสปุตนิก วี ประเทศรัสเซียด้วย