องค์กรสิทธิร่วมร้องยูเอ็น จับตา ตร. เรียกนักกิจกรรมชายแดนใต้สอบ

มารียัม อัฮหมัด และนนทรัฐ ไผ่เจริญ
2024.01.08
ปัตตานี และกรุงเทพฯ
องค์กรสิทธิร่วมร้องยูเอ็น จับตา ตร. เรียกนักกิจกรรมชายแดนใต้สอบ ผู้ประท้วงเพื่อประชาธิปไตยถือป้ายเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง เรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนโครงการวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของไทย ในจังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2564
เอเอฟพี

องค์กรสิทธิมนุษยชน และภาคประชาสังคมกว่า 30 องค์กร ทำหนังสือเปิดผนึกถึงสหประชาชาติ หรือยูเอ็น (United Nations - UN) ให้ช่วยตรวจสอบกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกนักกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หลายคนในหลายคดีว่า เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพหรือไม่ ด้านนักสิทธิมนุษยชนชี้ว่า แนวทางที่เจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติกับนักกิจกรรมนั้นเป็นการปิดกั้นการแสดงออก

“ขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยุติการฟ้องการดำเนินคดีในลักษณะปิดปากในการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการรวมกลุ่ม และขอให้เลขาธิการองค์การสหประชาชาติและประเทศสมาชิกฯ ทวงถามความมุ่งมั่นทางการเมืองของรัฐบาลไทย ที่ให้คำมั่นในการลงสมัครรับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนในปีนี้ว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐลักษณะนี้เป็นละเมิดสิทธิมนุษยชนและเป็นการปิดกั้นการรวมกลุ่มของประชาชนหรือไม่” จดหมายเปิดผนึก ระบุ

จดหมายดังกล่าวลงนามโดย องค์กรภาคประชาสังคม และสิทธิมนุษยชน ที่ทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, กลุ่มด้วยใจ, มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม (MAC), เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ (JASAD) และองค์กรอื่นรวม 32 องค์กร (ข้อมูลถึงวันจันทร์) โดยจะส่งถึง นายอันโตนิโอ กูเตอเรซ เลขาธิการสหประชาชาติ และประเทศสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ 47 ประเทศ

ในวันจันทร์นี้ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) ได้ออกจดหมายถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 4/กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า ถอนฟ้องและยุติการดำเนินการคดีที่เป็นการปิดปากนักกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย

“เพื่อมิให้การดำเนินคดีดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสร้างสันติภาพชายแดนใต้ ซึ่งเป็นแนวนโยบายหลักของรัฐบาลชุดนี้จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ หากสิทธิเสรีภาพในการรวมตัวและการแสดงความคิดเห็นของประชาชนยังถูกกดทับและผู้คนยังต้องอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว” ตอนหนึ่งของจดหมาย ระบุ

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา มีนักกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างน้อย 40 คนที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาคดีอาญา ขณะเดียวกันในบางคดี ผู้ฟ้องคือ พล.ท. ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 เอง

กรณีล่าสุดคือ นายซาฮารี เจ๊ะหลง ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กเพจ “ชมรมพ่อบ้านใจกล้า” ที่ตั้งขึ้นเพื่อรวบรวมเงินบริจาคช่วยเหลือครอบครัวผู้ที่ถูกวิสามัญฆาตกรรม ถูกฟ้องโดยเจ้าหน้าที่ในข้อกล่าวหา ฉ้อโกง และเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จผ่านระบบคอมพิวเตอร์

“เรายืนยันว่าการที่เราช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไม่ใช่การกระทำที่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด เจตนาที่ระดมทุนก็เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการวิสามัญโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะการเยียวยาจากรัฐมันถูกละเลย แล้วการช่วยเหลือองค์กรภาคประชาสังคมก็ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือเลย” นายซาฮารี กล่าวหลังเข้ารายงานตัวที่สำนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จังหวัดปัตตานี ในวันจันทร์นี้

นายซาฮารี ระบุว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีคนที่ถูกวิสามัญฆาตกรรมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ อย่างน้อย 76 คน ซึ่งมีหลายครอบครัวได้รับผลกระทบ มีเด็กต้องเป็นกำพร้า และรอคอยการช่วยเหลือ

ด้าน นายอับดุลกอฮาร์ อาแวปูเต๊ะ ทนายความของนายซาฮารี จากมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ระบุว่า นายซาฮารีให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจะยื่นคำให้การต่อพนักงานดีเอสไอเป็นเอกสารภายใน 30 วัน

ในวันอังคารที่ 9 มกราคม 2567 นี้ อุสตาส ฮาซัน และนักกิจกรรมรวม 9 คน เปิดเผยว่า จะเดินทางไปรายงานตัวตามหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี หลังมีหมายแต่ยังไม่ทราบข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวเชื่อว่า ตนเองและพวกถูกออกหมายเรียกจากการจัดกิจกรรมแต่งชุดแบบพื้นเมืองมลายู ในกิจกรรม “Perhimpunan Malays RAYA 2022” เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2565

สำหรับเสียงวิพากษ์-วิจารณ์เรื่องการฟ้องปิดปากนักกิจกรรม พล.ท. ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 ชี้ว่า ฝ่ายความมั่นคงได้ดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งนักกิจกรรมสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในศาลได้อยู่แล้ว 

“พวกเราเคารพความแตกต่างหลากหลายภายใต้พหุวัฒนธรรม พร้อมกับส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก แต่การพูดถึงเป้าหมายในการแบ่งแยกดินแดนหรือความต้องการเอกราช เป็นการละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มิอาจทำได้ และยืนยันว่า การดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ใช่การฟ้องเพื่อปิดปาก” พล.ท. ศานติ กล่าว 

ด้าน น.ส. พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ชี้ว่า สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงน่าเป็นห่วง แม้จะมีการเปลี่ยนจากรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรัฐบาลที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน 

“รัฐควรยุติการฟ้องร้องประชาชน เพราะมันคือการทำลายกระบวนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของชาวบ้านโดยสันติวิธี รัฐบาลควรผลักดันกระบวนการทางกฎหมายอย่างเป็นธรรม ปัจจุบัน การใช้ความรุนแรง การใช้อาวุธปรือระเบิดแทบจะไม่มีแล้ว อาจเพราะเขาคิดว่ามีตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่ในรัฐสภา แต่การแสดงออกทางสิทธิเสรีภาพโดยสันติ ซึ่งได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ กลับถูกขัดขวาง รัฐบาลหยุดเสียเถอะ” น.ส. พรเพ็ญ กล่าว

นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่คนร้ายบุกเผาโรงเรียน 20 แห่ง และปล้นปืน 413 กระบอก จากคลังแสงของกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) จังหวัดนราธิวาส ในช่วงดึกของวันที่ 4 มกราคม 2547 ถึงปัจจุบันเวลาได้ผ่านมา 20 ปีแล้ว ไฟที่ลุกโชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่เคยดับมอดลง

ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ผ่านกฎหมายพิเศษ คือ พ.ร.บ. อัยการศึกฯ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ. กอ.รมน. ซึ่งกฎหมายพิเศษเหล่านี้ ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคุมขังผู้ต้องสงสัยเพื่อการสอบสวนได้สะดวก และยาวนานกว่ากฎหมายอาญาปกติ ทั้งการจับกุมยังไม่ต้องขออำนาจศาลก่อนดำเนินการด้วย 

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินในวันนี้ ได้มีมติการขยายระยะเวลาพ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2567 และสิ้นสุดลงในวันที่ 19 เมษายน 2567 และปรับลดพื้นที่อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี และอำเภอรามัน จังหวัดยะลา ออกจากพื้นที่ที่เคยประกาศไว้ เนื่องจากสถานการณ์ดีขึ้น ทำให้ขณะนี้ ยังคงมีพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ทั้งหมด 18 อำเภอ จาก 33 อำเภอ ซึ่งลดลงไปแล้วถึง 15 อำเภอ 

ปี 2556 รัฐบาลพยายามหาทางแก้ไขปัญหา โดยเริ่มใช้ “การพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้” เป็นทางออก แต่ถึงตอนนี้ผ่านมาแล้ว 11 ปี ชายแดนใต้ก็ยังไม่เคยได้พบกับสันติสุข

สหประชาชาติ (UN) ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2523 ถึงปัจจุบัน มีคนไทยถูกบังคับให้สูญหายอย่างน้อย 77 คน โดยมูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้ให้ข้อมูลว่า พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผู้ที่ถูกบังคับให้สูญหายอย่างน้อย 31 คน นับตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งเป็นจุดประทุของไฟความขัดแย้ง

ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) ระบุว่า ตั้งแต่มกราคม 2547 ถึงพฤศจิกายน 2566 มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นกว่า 22,200 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตกว่า 7,540 คน และมีผู้บาดเจ็บอีกกว่า 14,000 ราย

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช และจรณ์ ปรีชาวงศ์ ในกรุงเทพฯ ร่วมรายงาน

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง