ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้
2023.03.21
วอชิงตัน
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศในวันอังคารนี้ว่า ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 14 พฤษภาคม หนึ่งวันหลังจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา และเริ่มการรณรงค์การเลือกตั้งทั่วไปอย่างเป็นทางการ
“กกต. มีมติเห็นชอบร่างแผนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นวันเลือกตั้ง” คณะกรรมการการเลือกตั้งไทย ระบุในการแถลงข่าว
การลงทะเบียนวันรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะมีขึ้นในสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน ส่วนผู้ที่ไม่สะดวกไปเลือกตั้งในวันจริง สามารถไปลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ทั้งแบบในเขตและนอกเขตได้ ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 ประชาชนกว่า 52 ล้านคน มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้
พล.อ. ประยุทธ์ ซึ่งอยู่ในอำนาจตั้งแต่การก่อรัฐประหารในปี 2557 กำลังลงสมัครรับเลือกตั้งใหม่ โดยเป็นตัวแทนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในปี 2557 รัฐบาลทหารของเขาได้ทำการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกโค่นในการรัฐประหารในปี 2549
พล.อ. ประยุทธ์ กำลังลงสนามแข่งขันกับ ลูกสาวนายทักษิณ นางสาวแพทองธาร “อุ๊งอิ๊ง” ชินวัตร พรรคเพื่อไทย ผู้ท้าชิงอีกคนคือ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตนายพลอีกคนหนึ่งที่เคยหนุนหลัง พล.อ. ประยุทธ์
นับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมีนาคม 2562 พล.อ. ประยุทธ์ ได้กุมอำนาจเรื่อยมา เขารอดพ้นจากการลงมติไม่ไว้วางใจในรัฐสภาถึงสี่ครั้ง ตั้งแต่ปี 2563 โดยครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่าวาระการดำรงตำแหน่งของ พล.อ. ประยุทธ์ ให้นับจากปี 2560 ที่เริ่มใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ซึ่งหมายความว่า พล.อ. ประยุทธ์ จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ถึงเดือนเมษายน 2568
ในโพลที่สำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่าง 2,000 คน ที่อัพเดตล่าสุด น.ส. แพทองธาร ชินวัตร พรรคเพื่อไทย ได้รับความนิยมอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 38.20 เปอร์เซ็นต์ ทิ้งห่าง พล.อ. ประยุทธ์ ตัวแทนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งตามมาเป็นอันดับ 3 ที่ได้รับคะแนน 15.65 เปอร์เซ็นต์
แต่มันไม่ง่ายเลยสำหรับพรรคเพื่อไทยและพรรคพันธมิตร แม้ว่าพวกเขาจะได้ที่นั่งเกินครึ่งจาก 500 ที่นั่งของ ส.ส. ก็ตาม
แนวร่วมฝ่ายค้านก็ยังเรียกร้องให้ประชาชนเลือกฝ่ายตน เพื่อให้ได้คะแนนเสียงมากกว่า 376 เสียง เพื่อให้เพียงพอต่อการเอาชนะเสียงสมาชิกวุฒิสภา 250 ที่นั่ง เพื่อให้ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้นำรัฐบาลคนต่อไป