รัฐไทยทำอะไรบ้างแล้วกับปัญหาหมอกควันพิษ
2025.01.28
กรุงเทพฯ
เป็นเวลากว่า 1 ปีแล้วที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบเสนอ ร่าง พรบ. อากาศสะอาด เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา และประกาศว่า “การแก้ไขปัญหามลภาวะทางอากาศเป็นวาระแห่งชาติ” ขณะเดียวกันก็เป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้วเช่นกันที่ ศาลปกครองเชียงใหม่ มีคำสั่งให้รัฐบาลจัดทำแผนแก้ไขปัญหาฝุ่นควันภายใน 90 วัน
“ตั้งแต่รัฐบาลท่านนายกฯเศรษฐา (ทวีสิน) KPI (ดัชนีวัดผลความสำเร็จ) ของ PM2.5 คือ ทำให้มีฝุ่นน้อยลงทุกปี สิ่งสำคัญ คือ การควบคุมการเผาพื้นที่การเกษตรต่าง ๆ ทุกวันนี้เราได้มีการลดพื้นที่การเผาไหม้ไปได้กว่า 50% แล้วค่ะ ฝุ่นควันเองก็ลดลงมากเช่นกัน ถ้าเทียบกับช่วงฝุ่นที่มากที่สุดของปีที่แล้วกับปีนี้ก็ลดลงไปอีก 30% ก็ถือว่า รัฐบาลมาถูกทางแล้วค่ะ” น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าว
น.ส. แพทองธาร ระบุในการแถลงผลงานหลังการรับตำแหน่ง 90 วัน โดยระบุว่า ค่าฝุ่น PM2.5 ตลอดทั้งปี 2567 อยู่ที่ 27 มคก./ลบ.ม. ซึ่งลดลงจาก 32 มคก./ลบ.ม. ของปี 2566
อย่างไรก็ตาม เสียงบ่น เสียงตำหนิ เสียงด่าทอรัฐบาล กลับมาดังขึ้นอีกครั้งในปี 2568 เมื่อหมอกฝุ่นหนาปรากฎตัวบดบังทิวทัศน์ของตึกสูงทั่วเมือง ค่าฝุ่น PM2.5 ทะลุ 119 มคก./ลบ.ม. เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเกินกว่า 25 มคก./ลบ.ม. ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ถือว่าเป็นปริมาณที่เริ่มกระทบต่อสุขภาพ
ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กรุงเทพฯ ได้ให้ข้าราชการทำงานจากที่บ้าน และปิดโรงเรียนรัฐหลายแห่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กต้องมาเผชิญกับฝุ่น และลดการใช้ยานพาหนะ ขณะที่รัฐบาลได้ร่วมมือกับรถไฟฟ้าทั้งลอยฟ้า และใต้ดิน รวมถึงรถประจำทาง เปิดให้ประชาชนใช้บริการฟรี ระหว่างวันที่ 25-31 ม.ค. 2568 เพื่อลดการใช้รถส่วนตัว

“เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ช่วยกันได้ก็ช่วยกัน บริษัทเองเราก็อยากให้เข้ามาร่วมเยอะ ๆ การทำงานที่บ้าน ไม่ใช่ดีเฉพาะลดปริมาณจราจร แล้วก็ลดการออกมาเจออากาศข้างนอก ถ้าไม่ได้ ก็ให้ใช้ขนส่งสาธารณะให้มากขึ้น ช่วยกันคนละนิดคนละหน่อยก็มีผลด้วย” นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าว
มาตรการแก้ฝุ่นไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร. ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์จาก คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มองว่า มาตรการที่รัฐกำลังดำเนินอยู่อาจยังไม่เพียงพอสำหรับการแก้ปัญหา และดูไม่เป็นรูปธรรม
“จำนวนคน 1.55 ล้านคน ที่ขึ้นรถไฟฟรี ไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าจะทำให้ PM2.5 ดีขึ้น มันเป็นลดการใช้รถส่วนตัว แต่ไม่ใช่ข้อมูลที่จะมายืนยันว่าเป็นมาตรการที่ถูกต้อง ที่ให้เด็กหยุดเรียนมันแก้ปัญหาจริงหรือ หรือว่าจริง ๆ แล้ว มันก็เกิดปัญหาอย่างอื่นมา เพราะ คนก็ยังไปทำงาน แถมผู้ปกครองก็ไม่รู้จะจัดการยังไงกับเด็กที่โรงเรียนปิด” ผศ.ดร. ไชยณรงค์ กล่าว
มาตรการสำหรับต่างจังหวัด รัฐบาลได้สั่งการไปยังคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ประสานโรงงานน้ำตาลทั้ง 58 แห่ง ให้รับซื้อเฉพาะอ้อยสด ไม่รับซื้ออ้อยเผา ระหว่างวันที่ 3-12 ม.ค. 2568 โดยที่ผ่านมา โรงงานน้ำตาลทั่วประเทศรับซื้ออ้อยเผากว่า 4 ล้านตัน หรือ 21.80% ของปริมาณอ้อยที่รับเข้าหีบทั้งหมดกว่า 18 ล้านตัน เทียบเท่าเผาป่ากว่า 4 แสนไร่

“มาตรการรับซื้ออ้อยของโรงงานต่าง ๆ ได้มีการทำข้อตกลงสร้างกติกาให้โรงงานรับอ้อยเผาในแต่ละวันไม่เกิน 25% ซึ่งจากข้อมูล ปัจจุบันไม่มีโรงงานใดใน 58 โรงงาน รับอ้อยเผาต่อวันเกินกว่าที่กำหนด เฉลี่ยสุดท้ายอยู่ที่ 10-11%” นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
แม้นายเอกนัฏจะมองว่า มาตรการที่ดำเนินอยู่ประสบความสำเร็จ แต่สำหรับ ผศ.ดร. ไชยณรงค์ ชี้ว่า มาตรการดังกล่าวย่ำแย่กว่าในอดีตด้วยซ้ำ
“การยังให้โรงงานรับซื้ออ้อยเผาได้ 25% มันก็ถือว่าแย่มาก ๆ มันเหมือนกับเป็นใบเบิกทางให้กับการเผาอ้อย แต่ก่อนมีมติ ครม. ให้ลดลงแบบขั้นบันไดว่าจะลดลงจาก 30% จนเหลือ 5-0% แต่รัฐบาลนี้ไม่ได้สานต่อ 25% นี่เยอะนะครับ” ผศ.ดร. ไชยณรงค์ กล่าว
ด้าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวกับที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาฝุ่น ทั้งในระดับจังหวัด ภูมิภาค และประเทศ โดยตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. 2567 เพื่อดูแลปัญหาเรื่องนี้
“ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝุ่นพิษในกรุงเทพฯ เกิดจากยานพาหนะ การก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรม การเผาไหม้ภาคการเกษตร สภาพอากาศปิด และการเผาของประเทศเพื่อนบ้าน แนวทางการแก้ไข คือ ชวนให้ประชาชนใช้ขนส่งสาธารณะ ขอความร่วมมือให้ทำงานจากบ้าน ควบคุมการเผาไหม้ ควบคุมการปล่อยสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม” นายเฉลิมชัย กล่าว

ทั้งนี้ แม้กฎหมายอาญา ม. 220 จะระบุว่า ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้เป็นของตนเอง จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 14,000 บาท
แต่สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) เปิดเผยข้อมูลจากดาวเทียมในวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ไทยยังพบจุดความร้อนรวม 787 จุด ทั้งในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ, ป่าอนุรักษ์ รวมไปถึงพื้นที่เกษตร ขณะเดียวกัน ยังพบจุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้านด้วยมากที่สุดใน กัมพูชา 3,378 จุด ลาว 417 จุด เมียนมา 298 จุด เวียดนาม 111 จุด และมาเลเซีย 2 จุด
ขณะที่ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร และกองทัพอากาศ ได้ใช้เครื่องบินจากพิษณุโลก และประจวบคีรีขันธ์ เจาะชั้นบรรยากาศ โดยใช้น้ำแข็งแห้ง 2,000 กิโลกรัม โปรยจนท้องฟ้าวันละ 2 รอบ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
ยกระดับความเข้าใจไปสู่การแก้ปัญหา
อย่างไรก็ตาม ดร. ทิพวรรณ ประภามณฑล นักวิจัย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชี้ว่า สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ปัญหาคือ องค์ความรู้เกี่ยวกับฝุ่น ซึ่งรัฐบาลต้องพึ่งพานักวิชาการ
“ไทยไม่สามารถเอาผลศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพจากจีน สหรัฐฯ หรือยุโรปมาปรับใช้ในเชิงนโยบายได้โดยตรง เราจึงต้องวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับองค์ประกอบของ PM2.5 ในไทยอย่างละเอียด เพราะตอนนี้ เราจับเอาทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้ามาเป็นปัญหา และหาคนผิด ซึ่งมันไม่ยั่งยืน เพราะถ้ามีฐานข้อมูลที่แข็งแกร่ง เราสามารถวิเคราะห์แหล่งกำเนิดมลพิษได้ทั้งในช่วงวิกฤติและช่วงปกติ ก็นำไปสู่การกำหนดนโยบายที่ตรงจุด” ดร. ทิพวรรณ กล่าว

ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มแจกหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน PM2.5 ทั่วประเทศกว่า 8 ล้านชิ้น โดยมอบให้ 1 ชิ้น ต่อคนต่อวัน ครั้งละไม่เกิน 7 วัน สำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง
ขณะที่ นายกรัฐมนตรีระบุว่าได้ยกระดับการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นวาระแห่งอาเซียน โดยมอบหมายให้ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ดำเนินการพูดคุยกับประเทศสมาชิก
“ต้องไปพูดคุยขอความร่วมมือตามกรอบความร่วมมือของอาเซียน ขอความร่วมมือประเทศที่มีการเผา และประเทศเราก็มีการเผาเช่นกัน ถึงเวลาแล้วจริง ๆ ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง ประเทศใดประเทศหนึ่ง ตอนนี้สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำ คือ กำลังแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ตอนนี้ให้ทันการให้ดีที่สุด ส่วนระยะยาวเราก็มีแผนแล้วส่วนระยะกลางและระยะสั้นก็ได้ทำทุกอย่างแล้ว” น.ส. แพทองธาร กล่าว
ในการแก้ปัญหาระยะยาว เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2567 สภาผู้แทนราษฎร มีมติเป็นเอกฉันท์ 433 เสียงรับหลักการวาระแรกของ ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด
ปัจจุบัน กฎหมายที่เป็นความหวังของปอดคนไทยยังคงอยู่ในชั้นพิจารณาของกรรมาธิการ(กมธ.) อากาศสะอาด โดยวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมาเพิ่งมีการแถลงว่า การทำกฎหมายเฉพาะนี้อยู่ในขั้นตอนการแก้ไขรายละเอียด เมื่อมองมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ ผศ.ดร. ไชยณรงค์ ยังเห็นว่า รัฐบาลสอบตกในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้
“ที่ผ่านมา มันแก้ปัญหามันไม่ถูกจุด บอกมาสิโรงงาน 2,500 แห่ง ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลต้องทำอย่างไร ถ้าตัดเกรด ผมให้ F กับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ถือว่าเลวร้ายกว่ายุค คสช. ด้วยซ้ำไป ยิ่งมาบอกว่าเป็นวาระอาเซียน ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะว่าคนที่ไปทำให้เกิดหมอกควันคือธุรกิจของไทย รัฐบาลทำอะไรกับกลุ่มทุนเหล่านี้ด้วยการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่เต็มมือ” ผศ.ดร. ไชยณรงค์ ระบุ

ทั้งนี้ กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) เพิ่งเปิดเผยว่า มีเด็กไทยประมาณ 13.6 ล้านคน ที่ต้องเผชิญความเสี่ยงจากฝุ่น PM2.5 จึงได้เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาเช่นกัน
“เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ถือเป็นกลุ่มเปราะบางต่อมลพิษทางอากาศเป็นพิเศษ โดยฝุ่น PM2.5 สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และส่งผลต่อเนื่องในระยะยาว เช่น การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ และปัญหาการพัฒนาสมอง นอกจากนี้ เด็กยังหายใจรับอากาศมากกว่าผู้ใหญ่เมื่อเทียบปริมาณต่อน้ำหนักตัว และดูดซับมลพิษมากกว่าผู้ใหญ่ ขณะที่ปอด ร่างกาย และสมองยังคงเจริญเติบโตไม่เต็มที่” UNICEF ระบุ
ด้าน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ก็เปิดเผยว่า สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่ย่ำแย่ตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจจากฝุ่นสะสมตั้งแต่ ม.ค. 2567 จนถึง ม.ค. 2568 ถึง 1 ล้านราย โดยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง พบมากที่สุดราว 2 แสนราย
ดร.ทิพวรรณ สะท้อนว่า ปัญหาฝุ่น PM2.5 ถูกละเลยจากรัฐบาล รวมถึงสังคมมาตลอด เพราะปัญหามีมาหลายปี แต่กลับไม่ได้รับการแก้ไข เนื่องจากปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นกับเมืองหลวง
“หากมลภาวะทางอากาศเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ประชาชนและภาครัฐจะตื่นตัวมาก แก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพราะความเสียหายในเมืองหลวงอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง แต่เชียงใหม่ร้องขอความช่วยเหลือมานานกว่า 10 ปี กลับยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ราวกับว่าเสียงเรียกร้องของเรายังไม่ดังพอ แม้ภาคประชาสังคมจะช่วยได้มาก แต่ในทางวิชาการ เราก็ไม่ควรหยุดสร้างองค์ความรู้ที่จะนำไปใช้ประโยชน์” ดร.ทิพวรรณ ทิ้งท้าย
จรณ์ ปรีชาวงศ์ ในกรุงเทพ ร่วมรายงาน