เมื่อทุนจีนรุกขนส่งไทย บริษัทรวย แต่คนขับอาจร่วง
2025.01.29
เชียงใหม่

“บริษัทที่ผมขับรถส่งของก็รู้ ๆ กันว่าคนจีนถือหุ้นทั้งนั้น เผลอ ๆ จะเป็นเจ้าของด้วยซ้ำ ผมสังเกตความเปลี่ยนแปลงว่า ตอนแรก ๆ ที่ผมขับเมื่อปี 2563 รายได้ต่อชิ้น ค่าเช่ารถ ค่าน้ำมันอะไรจะดีกว่าตอนนี้มาก ๆ แต่พอเราทำไปได้สักพักรายได้ลดลง ค่าเช่ารถก็ไม่ให้แล้วเอาไปรวมกับรายชิ้นแทน คนขับหน้าเก่า ๆ ออกไปทำอาชีพอื่นหมดแล้ว” วรสิทธิ์ ยอดทองขาว กล่าว
วรสิทธิ์ เป็นชาวเชียงใหม่ อายุ 42 ปี ทำอาชีพพนักงานขับรถส่งสินค้า ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ระบาด เคยทำงานกับบริษัทขนส่งมาแล้ว 4 บริษัท เกือบทุกวัน เขาเริ่มงานตั้งแต่ 07.00 น. และบ่อยครั้งที่ต้องเลิกงานเกือบ 20.00 น.
วรสิทธิ์ เริ่มทำงานในบริษัทที่มีผู้บริหารชาวจีนมาตั้งแต่ปี 2563 เขาพบว่าสภาพการทำงานขับรถขนส่งสินค้าเริ่มเสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่การแข่งขันทางธุรกิจทวีความรุนแรง ระบบการบริหารแบบจีนที่เน้นผลกำไรสูงสุดส่งผลให้พนักงานต้องทำงานภายใต้ความกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ผมต้องตื่นตั้งแต่ 05.00 น. ทำธุระส่วนตัวและครอบครัวเสร็จก็รีบออกไปรับสินค้าที่คลังสินค้าตอน 07.00 น. จากนั้นก็ส่งของทั้งวันจนค่ำ ตอนนี้ ก็ไปสมัครตำแหน่งงานคนขับรถของเทศบาลไว้ ถ้าไม่ได้ก็อยากลองไปขายของที่ตลาดนัดอีกครั้ง เพราะขับรถส่งสินค้าเอาเวลาผมไปมากกว่าวันละ 12 ชั่วโมง ผมต้องกินข้าวกลางวันและข้าวเย็นระหว่างขับรถ มันเหนื่อยมาก ถ้ายังทำต่อไปก็ดูไม่มีอนาคต" วรสิทธิ์ กล่าว

ปัจจุบัน ธุรกิจขนส่งสินค้าในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จากผลสำรวจ Thailand Digital Outlook 2024 ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่สำรวจคนไทย 45,339 คน พบว่า 82.98% (37,865 คน) ใช้งานอินเทอร์เน็ตในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โดย 40.40% ของจำนวนนี้ ซื้อสินค้าออนไลน์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ขณะที่ รายงานโลจิสติกส์ ของประเทศไทย ประจำปี 2566 (Thailand’s Logistics Report 2023) โดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ [Office of the National Economic and Social Development Council (NESDC)] พบว่า ปี 2566 มีปริมาณการขนส่งสินค้าทางถนนสูงถึง 428,426 พันตัน
ชลธิชา นาคะเกษียร แม่ค้าขายของออนไลน์ อายุ 33 ปี ชาวกรุงเทพฯ ระบุว่า ผู้ประกอบการออนไลน์หลายรายได้รับอานิสงส์จากแข่งขันในธุรกิจขนส่งเอกชน
“การแข่งขันในธุรกิจขนส่งเอกชน ส่งผลดีต่อผู้ค้าออนไลน์อย่างเราโดยตรง ทั้งในแง่ของบริการที่ครอบคลุมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริการรับพัสดุถึงหน้าบ้าน การขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น ระยะเวลาจัดส่งที่รวดเร็วขึ้น” ชลธิชา กล่าวกับเบนาร์นิวส์
ต่างชาติถือหุ้นแบรนด์ดัง-ทุนจีนแทรกซึม
การเติบโตของธุรกิจขนส่งสินค้าในไทย ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมาก จนถึงเดือน ส.ค. 2567 มีการลงทุนจากต่างประเทศทั้งสิ้น 39.28 พันล้านบาท หรือ 47.64% ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทย โดยชาติที่ลงทุนในธุรกิจขนส่งไทยมากที่สุดคือ จีน เนเธอร์แลนด์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และฮ่องกง

ปัจจุบัน แบรนด์ที่สำคัญ ๆ ในวงการธุรกิจขนส่งสินค้าไทย ได้แก่ ไปรษณีย์ไทย (Thailand Post) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของไทย ในปี 2566 มีรายได้รวม 20,934 ล้านบาท, KEX (เดิมใช้ชื่อ Kerry Express) ราย 11,470 ล้านบาท, Flash Express รายได้ 20,093 บาท และ J&T Express รายได้ 18,511 บาท
ในรายงาน 'ส่องธุรกิจ ‘ขนส่งเอกชนไทย’ ในมือ (ผู้ถือหุ้น) ชาวจีน?' ของกรุงเทพธุรกิจ เมื่อเดือน ก.พ. 2567 ระบุว่า บริษัทขนส่งสินค้าชื่อดังที่ดำเนินกิจการในไทย แม้จะมีกรรมการผู้มีอำนาจลงนามส่วนใหญ่เป็นคนไทย แต่แท้จริงแล้วกลับมีผู้ถือหุ้นที่มีสัญชาติจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ รวมอยู่ด้วย
บริษัทขนส่งหลายแห่งยังพบความเชื่อมโยงกับบริษัทจีน เช่น เมื่อเดือน ก.พ. 2566 Kerry Express ซึ่งเป็นแบรนด์ข้ามชาติจากฮ่องกง ได้ขายกิจการพร้อมหุ้น 100% ให้กับ SF International Holding (Thailand) Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ S.F. Holding Co. ยักษ์ใหญ่ด้านขนส่งจากจีน
J&T Express Thailand แบรนด์จากอินโดนีเซีย ก็มีกรรมการผู้มีอำนาจลงนามเป็นชาวจีน 1 ราย, BEST Thailand เป็นบริษัทในเครือของ BEST Inc. ซึ่งเป็น 1 ใน 3 บริษัทชั้นนำด้านโลจิสติกส์ของจีน ส่วน Flash Express แบรนด์สัญชาติไทย ก็มีผู้ถือหุ้นชาวจีนด้วยเช่นกัน
ผลักภาระให้คนขับรถส่งสินค้า และผู้บริโภค
แม้ความต้องการแรงงานในธุรกิจขนส่งไทยจะมีมาก แต่ปี 2566 รายงานธุรกิจขนส่งไทย ระบุว่า แรงงานขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า มีรายได้เฉลี่ยเพียง 17,145.44 บาทต่อเดือนเท่านั้น

วรสิทธิ์ ระบุว่า เขาได้ค่าส่งสินค้า 30 บาทต่อชิ้น โดยแต่ละวันต้องส่ง 30-40 ชิ้น เท่ากับว่าเขามีรายได้ 900-1,200 บาทต่อวัน ซึ่งเขารู้สึกว่า ยังไม่คุ้มกับความเหนื่อยและต้นทุนที่ต้องแบกรับ
“ก่อนหน้านี้เคยส่งสินค้ากล่องเล็ก ๆ ได้ชิ้นละ 5 บาท การส่งสินค้าหลายแห่งถือเป็นงานหนัก โดยเฉพาะที่ต้องส่งบนภูเขา ต้องยกสินค้าเอง เคยส่งชิ้นใหญ่สุดคือยางรถไถกับตู้เย็น ไหนจะใช้รถยนต์ของตนเองหนักอีก ซึ่งถ้ารถยนต์พัง เราก็ต้องจ่ายค่าซ่อมเอง” วรสิทธิ์ กล่าว
มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เปิดเผยว่า ในเดือน พ.ย. 2567 พนักงานของบริษัทขนส่งรายใหญ่แห่งหนึ่งในได้ร้องเรียนกับมูลนิธิฯ เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนหลังมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารเป็นชาวจีน
บริษัทดังกล่าวได้เปลี่ยนวิธีคำนวณระยะทางจากการวัดจริง เป็นการวัดผ่าน GPS ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนถึง 70-100 กิโลเมตร ทำให้พนักงานถูกหักค่าจ้างเดือนละ 5,000 บาทต่อคน นานกว่า 1 ปี ทั้งยังถูกตัดค่าล่วงเวลาและสวัสดิการต่าง ๆ ที่เคยได้รับ หลังการร้องเรียนบริษัทได้ปลดพนักงานออกอย่างน้อย 75 คน ซึ่งสร้างความกังวลให้กับพนักงานที่เหลือ
และเมื่อเกิดปัญหาระหว่างพนักงานกับบริษัท ทำให้เกิดการประท้วงหยุดงาน หรือการลาออก ผลกระทบที่ตามมาคือ สินค้าจำนวนมากตกค้างในคลังเพราะไม่มีผู้ส่ง
หวั่นทุนจีนกุมระบบนิเวศสินค้าออนไลน์-ขนส่ง
ดลวรรฒ สุนสุข นักวิจัยของ The Glocal - ท้องถิ่นเคลื่อนโลก ชี้ว่า ปัจจุบัน จีนกำลังตีตลาดอีคอมเมิร์ซอย่างหนัก หลังจากซึมเข้าสู่ธุรกิจขนส่งสำเร็จ ซึ่งอาจส่งผลกระทบในระยะยาว

“นอกจากลงทุนในธุรกิจอีคอมเมิร์ซแล้ว ทุนจีนก็เริ่มมีบทบาทในธุรกิจขนส่ง ทั้งสองธุรกิจนี้เกื้อหนุนกันโดยตรง หากทุนจีนผูกขาดทั้งระบบนิเวศการขายสินค้าและขนส่งสินค้าได้ ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัว” ดลวรรฒ กล่าว
ล่าสุดในปี 2567 TEMU แพลตฟอร์มขายสินค้าจากจีนเริ่มสร้างความกังวลให้กับ SME ไทย เพราะกลายเป็นผู้นำเข้าสินค้าจีนที่มีราคาต่ำมาก ระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2567 พบว่า ไทยนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นถึง 7.12% เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นมูลค่ากว่า 37,569.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าจากจีน 19,967.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 15.66%
ในเดือน ส.ค. 2567 สหพันธ์การขนส่งไทย เคยร้องขอให้รัฐบาลตรวจสอบการเข้ามาของทุนจีนในธุรกิจขนส่ง เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับการครอบงำตลาดอีกด้วย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว
อนึ่ง ช่วงปลายเดือน ม.ค. 2568 วรสิทธิ์ได้ยุติการขับรถขนส่งสินค้าให้กับบริษัทแห่งนี้แล้ว และอยู่ระหว่างการร้องเรียนกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้นายจ้างจ่ายค่าแรงที่ค้างจ่ายเขาและเพื่อนร่วมงาน