ฮิวแมนไรท์วอทช์ชี้ ปี 67 ไทยสำเร็จเรื่องเดียวคือ พรบ. สมรสเท่าเทียม
2025.01.17
กรุงเทพฯ

ฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch-HRW) รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทยในปี 2567 ที่ผ่านมา โดยชี้ว่า ความสำเร็จด้านสิทธิมนุษยชนเดียวของไทยในปีที่ผ่านมาคือ การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม ขณะที่ประเด็นอื่นๆ ยังต้องปรับปรุง
“เรื่องดีเรื่องเดียวเกิดขึ้นเดือน ก.ย. 2567 คือ การที่รัฐบาลสามารถผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม ทำให้ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รับรองสถานะการสมรสของคู่รักเพศเดียวกัน” รายงานตอนหนึ่ง ระบุ
อย่างไรก็ตาม แม้ HRW จะชี้ว่า การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นเรื่องที่ก้าวหน้าของไทย แต่กลับยังไม่มีกระบวนการรับรองสถานะทางกฎหมายสำหรับคนข้ามเพศตามอัตลักษณ์ทางเพศของพวกเขา
HRW ยังเห็นว่าในปี 2567 สถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยยังคงมีปัญหาหลายด้าน ในด้านการเมือง คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 2 ครั้งเมื่อเดือน ส.ค. ก็ได้ทำลายความพยายามในการกลับสู่เส้นทางประชาธิปไตยของไทย
“คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งยุบพรรคก้าวไกล และสั่งให้ นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้บั่นทอนความพยายามในการฟื้นฟูประชาธิปไตยหลังจากที่ต้องอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลทหารตลอดช่วงหลายปี” HRW ระบุ
รายงานยังชี้ว่า รัฐบาลของ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร ไม่ได้แสดงให้เห็นความพยายามในการฟื้นฟูเสรีภาพ และสิทธิมนุษยชนอย่างเช่นที่เคยให้คำมั่นสัญญาระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566
“รัฐบาลเคยหาเสียงเอาไว้ว่าจะหารือในรัฐสภา เรื่องการป้องกันไม่ให้มีการใช้ข้อหาหมิ่นเบื้องสูง เป็นเครื่องมือทางการเมือง และจะปล่อยตัวนักกิจกรรมรวมถึงผู้เห็นต่างที่ถูกคุมขังโดยให้ประกันตัว แต่รัฐบาลก็ยังไม่ได้ดำเนินการที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขประเด็นคงค้างจากการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน สัญญาที่เคยให้ไว้จึงเป็นเพียงลมปาก” นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวกับเบนาร์นิวส์
ในประเด็นนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรวบรวมข้อมูล ตั้งแต่มีการชุมนุมของ “เยาวชนปลดแอก” เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2563 จนถึงสิ้นปี 2567 พบว่า มีประชาชนถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมและแสดงความคิดเห็นทางการเมืองแล้วอย่างน้อย 1,960 คน จาก 1,311 คดี
นับเฉพาะ ข้อหาหมิ่นเบื้องสูง หรือ ม.112 มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 276 คน จาก 308 คดี โดยมีผู้ต้องขังจากคดีทางการเมือง อย่างน้อย 33 ราย ในนั้น 22 ราย เป็นผู้ที่ถูกคุมขังขณะยังต่อสู้คดี แต่ไม่ได้สิทธิประกันตัว
“ทางการไทยมักคุมขังผู้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์หลายเดือนโดยไม่ให้ประกันตัว เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2567 เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง ก็ได้เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขัง ขณะรอการพิจารณาคดี ม. 112” รายงานของ HRW ระบุ

น.ส. พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ชี้ว่า ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยและให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพไม่ควรเกิดกรณีเช่นที่เกิดกับบุ้ง
“การเสียชีวิตของบุ้งเป็นการเสียชีวิตของนักโทษทางความคิด อาจจะเป็นคนแรกของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งไม่น่าจะเกิดในยุคที่พวกเรายืนกันตรงนี้ ในทางสากลนักโทษทางความคิด ย่อมจะต้องไม่ถูกดำเนินคดีทางอาญาทั้งสิ้น” น.ส. พรเพ็ญ กล่าวกับเบนาร์นิวส์
HRW เห็นว่า ไทยยังมีอีกหลายประเด็นที่ฉุดรั้งสิทธิมนุษยชนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น พรบ. ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย ที่ประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2565 แต่กลับไม่ได้บังคับใช้อย่างจริงจัง ยังพบกรณีที่ ทหารและตำรวจ ละเมิดคนมุสลิมระหว่างกระบวนการซักถาม
ยังชี้ว่า รัฐบาลไทยล้มเหลวในการปกป้องนักปกป้องสิทธิ โดยยกกรณีที่ นายรอนิง ดอเลาะ ผู้ประสานงานกลุ่มด้วยใจ ซึ่งถูกสังหารโดยคนร้ายไม่ทราบกลุ่มเมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ยังล้มเหลวในการนำตัวผู้ต้องหา 14 คน ซึ่งเป็นข้าราชการ และฝ่ายความมั่นคงมาเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายในคดีตากใบ ปี 2547 กระทั่งทำให้คดีหมดอายุความ การทรมาน หรือการวิสามัญฆาตกรรมประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นโดยที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลยังคงลอยนวล พ้นผิด ไม่ต้องรับโทษทางอาญา
ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รศ.ดร. โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ชี้ว่า รัฐบาลไทยกำลังละเลยประเด็นสิทธิมนุษยชน
“มันตกต่ำมาก และเจ็บปวดมาก รัฐบาลชุดนี้อ้างเป็นประชาธิปไตย แต่นิ่งดูดายกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนจนเป็นปกติ ตอนนี้เราเป็นอำนาจนิยมสมบูรณ์ การเลือกตั้งเป็นฉากละครเท่านั้นเอง สิทธิมนุษยชนของเราตกต่ำเรี่ยลากดินไม่ต่างกับรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เปลี่ยนแค่คนมีอำนาจจากประยุทธ์เป็นทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น” รศ.ดร. โอฬาร กล่าวกับเบนาร์นิวส์
ในการดูแลผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย และแรงงานข้ามชาติ รัฐบาลไทยยังคง พยายามผลักดัน หรือส่งกลับคนเหล่านี้ให้ไปเผชิญกับอันตราย ชาวอุยกูร์กว่า 50 คน และโรฮิงญาร่วม 100 คน ยังต้องอยู่ในห้องกักสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองซึ่งมีสภาพย่ำแย่
“การคุ้มครองผู้ลี้ภัยก็ไม่ดีขึ้น กลับมีการปราบปรามข้ามแดนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กรณีจับผู้ลี้ภัยกัมพูชาและส่งกลับ (เมื่อ พ.ย. 2567) กรณียิงคุณลิม กิมยา ก็ดี เป็นตัวอย่างที่ร้ายแรงมาก เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์มันไม่ดีขึ้น ในกฎหมายต่อต้านการบังคับทรมานและสูญหาย ห้ามส่งบุคคลกลับไปเผชิญอันตราย ทำไมรัฐบาลไม่ยอมทำตามกฎหมายของตัวเอง” นายสุณัย กล่าว