ศาลจำคุกชัยวัฒน์ 3 ปี ฐานจับกุม “บิลลี่” โดยมิชอบ

นนทรัฐ ไผ่เจริญ
2023.09.28
กรุงเทพฯ
ศาลจำคุกชัยวัฒน์ 3 ปี ฐานจับกุม “บิลลี่” โดยมิชอบ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พูดคุยกับผู้สื่อข่าวก่อนเข้าฟังคำพิพากษาคดีอุ้มฆ่า “บิลลี่” พอละจี รักจงเจริญ วันที่ 28 กันยายน 2566
นนทรัฐ ไผ่เจริญ/เบนาร์นิวส์

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาในวันพฤหัสบดีนี้ ให้จำคุกนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นเวลา 3 ปี ในความผิดควบคุมตัวนายพอละจี “บิลลี่” รักจงเจริญ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่สั่งยกฟ้องข้อหาฆ่าโดยเจตนาเพราะไม่มีหลักฐานเพียงพอ 

ในตอนเช้าวันนี้ นายชัยวัฒน์ และจำเลย ซึ่งเป็นอดีตลูกน้องอีก 3 คน เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง ท่ามกลางการสังเกตการณ์ของสมาชิกครอบครัวของนายพอละจี เจ้าหน้าที่ทูตต่างชาติ นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชน 

“จำเลยที่ 1 (นายชัยวัฒน์) มีความผิดจากการควบคุมตัวนายพอละจี พร้อมกับน้ำผึ้งป่าซึ่งเป็นของต้องห้าม แต่ไม่รายงานและนำตัวนายพอละจีส่งต่อเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ซึ่งถือเป็นความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ให้จำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นให้ยก” ตอนหนึ่งของคำพิพากษา ระบุ 

ส่วนข้อหาอื่น ๆ นั้น ศาลระบุโดยสรุปว่า แม้ชิ้นส่วนกระดูกที่พบในแม่น้ำเพชรบุรีจะสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีดีเอ็นเอซึ่งมีเชื้อสายเดียวกันกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของนายพอละจี แต่ไม่เพียงพอจะพิสูจน์ว่าเป็นชิ้นส่วนกระดูกของนายพอละจี เนื่องจากอาจเป็นกระดูกของเครือญาติก็ได้ ดังนั้น ข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและอำพรางศพจึงตกไป 

ในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวนั้น จำเลยและพยานจะมีพิรุธ ให้ข้อมูลกลับไปกลับมา ศาลเห็นว่าพยานหลักฐานมีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะตัดสินลงโทษ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย 

หลังเสร็จสิ้นกระบวนการ นายชัยวัฒน์ ถูกนำไปที่ห้องควบคุมตัวของศาลทันที แต่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 800,000 บาท และห้ามเดินทางออกนอกประเทศในระหว่างต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ขณะที่จำเลยคนอื่น ๆ ประกอบด้วย นายบุญแทน บุษราคำ, นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ศาลพิพากษาให้ยกฟ้องทุกข้อกล่าวหา

mueno03.JPG

.. พิณนภา พฤกษาพันธุ์ หรือ มึนอ ภรรยาม่ายของบิลลี่ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวทั้งน้ำตา หลังฟังคำพิพากษาคดีอุ้มฆ่า “บิลลี่” พอละจี รักจงเจริญ วันที่ 28 กันยายน 2566 (นนทรัฐ ไผ่เจริญ/เบนาร์นิวส์)

น.ส. พิณนภา พฤกษาพันธุ์ หรือมีชื่อว่า มึนอ ในภาษากะเหรี่ยง ภรรยาม่ายของนายพอละจี ได้เรียกร้องหาข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวมายาวนานกว่า 9 ปี โดยมีนักสิทธิมนุษยชนคอยให้ความช่วยเหลือ 

“พูดไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะที่ต่อสู้มาโดยตลอดแค่อยากจะรู้ว่าพี่บิลลี่หายไปไหน” มึนอ กล่าวกับสื่อมวลชนทั้งน้ำตา หลังทราบคำพิพากษา 

ขณะที่ น.ส. พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวกับเบนาร์นิวส์ว่า ผิดหวังกับผลคำตัดสิน เพราะกลไกรัฐไม่สามารถแสวงหาความจริงได้ 

“กระบวนการยุติธรรมชั้นต้น ไม่ได้ปฏิบัติกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเหมือนกับประชาชนทั่วไป เจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นผู้ต้องสงสัยยังคงอยู่ในอำนาจหน้าที่ตลอดมาตั้งแต่วันที่เขาถูกต้องสงสัย 9 ปี ซึ่งอาจสามารถทำให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถปกปิดพยานหลักฐานได้อย่างแนบเนียนโดยที่ฝ่ายผู้เสียหายและผู้ที่มาติดตามทำคดีไม่อาจแสวงหาความจริงได้ สุดท้ายก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าบิลลี่หายไปไหน” น.ส. พรเพ็ญ กล่าว 

หลังฟังคำพิพากษา นายปรีดา นาคผิว ทนายความฝ่ายโจทก์ร่วม เปิดเผยว่า จะรวบรวมข้อมูลเพื่อยื่นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไป 

บิลลี่หายตัว 

เมื่อปี 2554 ที่ชาวบ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายชัยวัฒน์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในขณะนั้น ในข้อหาเข้ารื้อทำลาย เผาบ้านเรือน และทรัพย์สินของชาวบ้านชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงที่บริเวณตำบลห้วยแม่เพรียง ใน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี 

ในวันที่ 17 เมษายน 2557 นายพอละจี ซึ่งเป็นหนึ่งในพยานของคดีกลับหายตัวไปหลังจากไปเก็บน้ำผึ้งในป่า ก่อนการนัดหมายของศาลหนึ่งเดือน ต่อมา น.ส. พิณนภาได้ฟ้องร้องต่อศาลโดยกล่าวหาว่า นายชัยวัฒน์ และเจ้าหน้าที่อุทยานฯ รวม 4 คน เป็นผู้ลักพาตัวนายพอละจีไป เนื่องจากมีพยานเห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายพอละจีก่อนที่เขาจะหายตัวไป 

อย่างไรก็ตาม นายชัยวัฒน์ ยืนยันว่าได้ควบคุมตัวนายพอละจีจริง แต่ปล่อยตัวไปแล้ว กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2557 ศาลพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว เพราะเห็นว่ามีหลักฐานไม่เพียงพอ หลังจากนั้นก็ไม่มีความคืบหน้าทางคดี 

กระทั่งวันที่ 3 กันยายน 2562 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ระบุว่า พบชิ้นส่วนกะโหลกมนุษย์ในถังน้ำมันซึ่งจมอยู่ใต้น้ำในพื้นที่อุทยานฯ และพิสูจน์ได้ว่า กะโหลกดังกล่าวมีดีเอ็นเอที่อาจเป็นของนายพอละจี และอาจยืนยันได้ว่านายพอละจีเสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรม ทำให้นำไปสู่การร้องต่อศาล เพื่อขอหมายจับผู้ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมครั้งนี้ โดยดีเอสไอกลับมาสอบสวนคดีนี้ใหม่ 

ต่อมาในปี 2563 อัยการมีความเห็นไม่สั่งฟ้องนายชัยวัฒน์ และพวกด้วยเหตุผลว่าข้อหาของดีเอสไอไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอยังดำเนินการต่อจนกระทั่งมีการฟ้องร้องต่ออัยการอีกครั้ง และศาลได้มีคำสั่งรับฟ้องในเดือนกันยายน 2565 โดยนายชัยวัฒน์เป็นจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยอีก 3 คน 

ในระหว่างที่นายชัยวัฒน์ ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) มีคำสั่งในวันที่ 25 มีนาคม 2564 ให้ปลดนายชัยวัฒน์ ออกจากราชการ หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ชี้มูลความผิด ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา โดยการเผาทำลายทรัพย์สินของชาวบ้านบางกลอยในป่าแก่งประจาน 

ต่อมาศาลปกครอง จังหวัดเพชรบุรี มีคำสั่งในวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ให้ทุเลาคำสั่งปลดนายชัยวัฒน์ออกจากราชการตามที่นายชัยวัฒน์ได้ร้อง ล่าสุด นายชัยวัฒน์ ดำรงตำแหน่งเป็น ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ (สอช.)

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช ในกรุงเทพฯ ร่วมรายงาน 

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง