คนไทย 15 คนสุดท้ายติดในเขตเศรษฐกิจพิเศษลาว ได้รับการช่วยเหลือแล้ว

เรดิโอฟรีเอเชียรายงานว่า คนไทยกลุ่มสุดท้าย จากทั้งหมด 15 คนที่ถูกหลอกให้รับงานผิดกฎหมาย ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำของลาว ได้เดินทางกลับถึงไทยแล้ว

เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วนายหน้าหางานให้ชาวไทย 15 คน ให้สัญญาว่าพวกเขาจะได้งานที่ดีในเขตเศรษฐกิจพิเศษใน สปป.ลาว ที่ดำเนินการควบคุมอย่างไม่เป็นทางการโดยจีนเพื่อแลกกับเงินค่าจ้างคนละ 15,000 บาท (หรือ 450 เหรียญสหรัฐ)

ดังนั้นในเดือนมกราคม พวกเขาจึงได้นั่งเรือเล็กข้ามพรมแดนทางแม่น้ำโขงช่วงระหว่างจังหวัดเชียงรายและจังหวัดบ่อแก้วของลาว มาถึงอำเภอต้นผึ้ง ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำในลาว

เมื่อไปถึงที่นั่น พวกเขาเริ่มทำงานโดยเป็นคนแชทออนไลน์ ในการขายหุ้นของหลายบริษัทที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษให้กับนักท่องเที่ยว พวกเขารู้ในทันทีว่า งานนี้ไม่ใช่งานที่มีการคุยกันไว้ตามสัญญา

แรงงานไทย 5 คนในกลุ่มนั้น สามารถหลบหนีออกมาได้เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์โดยได้จ่ายเงินให้นายหน้าเพื่อให้ส่งพวกเขากลับไทย จากนั้นในต้นเดือนมีนาคม อีก 6 คน ก็หนีออกมาในลักษณะเดียวกัน และ 4 คนสุดท้ายเพิ่งได้รับการช่วยเหลือ ออกเดินทางกลับมากรุงเทพฯ เมื่อวันอังคารนี้

คนแรกที่หลบหนีออกมา คือชายชาวจังหวัดเชียงราย เขาเล่าให้เชียงใหม่นิวส์ฟังว่า ตอนแรกเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงลาว ก็มีคนมารับและนำพวกเขาไปเข้าที่กักตัวในอาคารนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษ

“จากนั้นเราถูกนำตัวไปที่เขตเศรษฐกิจพิเศษและกักตัวที่นั่นต่ออีก 14 วัน แล้วจึงถูกนำตัวไปที่ชั้น 9 ของตึกสีฟ้าที่มีการป้องกันอย่างเข้มงวด” เขากล่าว

“ในวันแรกของการทำงาน เราถูกพาไปที่ห้องขนาดใหญ่ที่มีโต๊ะจำนวนมาก เราแต่ละคนได้รับสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต มีคนงานประมาณ 50 คนในห้องนี้ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและลาว และมีพวกเรา 15 คน”

ผู้หญิงหนึ่งในกลุ่มห้าคนแรกที่หนีออกมา บอกกับนักข่าวไทยว่างานแรกของพวกเขาคือการสร้างเฟซบุ๊กเพจและบัญชีอินสตาแกรมโดยใช้ชื่อและรูปถ่ายปลอม

“พวกนั้นบอกเราว่าเรากำลังทำงานเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ของคิงส์ โรมัน คาสิโน...ต่อมาเราได้รับคำสั่งให้ปลอมตัวในบัญชีโซเชียลมีเดียปลอม พยายามโน้มน้าวให้มีคนมาลงทุนหรือซื้อหุ้นของบริษัท” เธอกล่าว

“มาถึงจุดนี้ เราได้พูดกับหัวหน้าชาวจีนว่าเราอยากกลับบ้าน แต่หัวหน้าบอกว่าเราต้องจ่ายบริษัท 100,000 บาท ($3,000)” เธอกล่าว

คนทำงานแชทออนไลน์ทั้งหมดได้รับการบอกกล่าวว่า จะต้องทำงานวันละ 12 ชั่วโมง แต่จริงๆ แล้วทำงานประมาณ 16 ชั่วโมงโดยแบ่งเป็น 2 ช่วง ผู้หญิงไทยอีกรายหนึ่งจากกลุ่ม 5 คนแรกที่หนีออกมา บอกกับนักข่าวไทยคนเดิม

“หลังจากเราทำงานมาสามวัน เรารู้ว่า เราไม่ได้ทำงานตามที่ตกลงกันไว้จริงๆ เราจึงต้องการเลิกทำงานในวันที่สี่ แต่หัวหน้ายืนยันว่าเราต้องทำงานต่อ มิฉะนั้นเราจะถูกขายไปเป็นโสเภณี” เธอกล่าว

ชายอีกรายหนึ่งในกลุ่มเล่าว่า มีสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก และเป้าหมายในการขายที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุผล

“เราไม่เคยได้รับค่าจ้างเลย เรานอนรวมกันในห้องเดียว และได้รับอาหารสองมื้อต่อวัน แต่ถ้าเราทำไม่ถึงเป้า พวกเขาขู่ว่าจะขายเราให้บริษัทอื่น เพราะเรายังใหม่ เราทำอะไรไม่ได้มาก” เขาบอก และตอนนั้นเองที่ทั้งหมดรู้ว่าพวกเขาถูกหลอก

“เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เราได้ติดต่อสำนักงานผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและสถานเอกอัครราชทูตไทยในลาวซึ่งแนะนำเราไม่ให้เซ็นสัญญาและให้รอ เพราะกำลังดำเนินการให้ความช่วยเหลืออยู่” เขากล่าว

นายภาสกร บุญญลักษณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ส่งจดหมายถึงผู้ว่าราชการจังหวัดบ่อแก้ว เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ โดยขอให้ทางการลาวช่วยเหลือคนไทยที่ติดอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ

ในวันต่อมา กลุ่มแรงงานไทยห้าคนแรกตัดสินใจหนีกลับบ้านเกิดที่จังหวัดเชียงราย

“ผมกับเพื่อนสี่คน (ชายสามคนและหญิงสองคน) หลบหนีออกมาได้ ต้องขอบคุณผู้หญิงลาวที่ทำงานที่ศูนย์กักตัวแห่งแรก” ชายรายที่สองบอก

“เราถามผู้หญิงคนนี้ว่ามีวิธีใดบ้างที่เราจะหนีได้ เธอบอกเราว่ามีผู้ชายลาวคนหนึ่งที่ช่วยเราได้ แต่เราต้องจ่าย 30,500 บาท ($911) ต่อคนเพื่อหลบหนี และ 14,000 บาท (418 ดอลลาร์) ต่อคนสำหรับการนั่งเรือข้ามแม่น้ำโขง เราโทรหาครอบครัวของเรา และก็มีครอบครัวหนึ่งได้นำบ้านไปจำนองเพื่อแลกกับอิสรภาพของลูกชาย” เขาบอก

ชายไทยรายที่สาม บอกว่าเขาชื่อ นายซี กล่าวว่า เขาได้รับมอบหมายให้ขายหุ้นให้กับลูกค้าชาวยุโรปเนื่องจากทักษะภาษาอังกฤษของเขา

“ผมรู้ว่างานนี้ผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม ดังนั้นผมจึงเกลี้ยกล่อมอีกสี่คนให้หนีออกมาด้วยกัน เราออกจากตึกสีฟ้าเวลา 19.30 น. วันที่ 22 กุมภาพันธ์ ทิ้งข้าวของทั้งหมดไว้ในห้องพัก เราแต่งตัวด้วยชุดสีเข้ม แล้ววิ่งหลบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปที่ด้านหลังของตึกสีฟ้า” เขากล่าว

“เราเดินต่อไปเกือบชั่วโมง เมื่อเราไปถึงหมู่บ้าน ก็มีรถมารับเรา ผมจำไม่ได้ว่านานแค่ไหนและไกลแค่ไหน จนมาถึงแม่น้ำโขง ที่นั่นมีผู้ชายลาวรออยู่พร้อมเรือลำเล็ก” นายซีบอก

เมื่อพวกเขากลับมาถึงไทย พวกเขาถูกพาไปที่สวนยางแห่งหนึ่ง มีผู้ชายไทยคนหนึ่งจับพวกเขาไว้จนกระทั่งเมื่อชายผู้นั้นได้รับเงินทางอิเล็กทรอนิกส์จากชายชาวลาว ชายไทยผู้นี้จึงนำพวกเขาไปส่งที่ตลาดในอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

“ประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผมได้ข่าวว่า มีคนไทยอีกหกคนหลบหนีออกมาแบบเดียวกับที่เราทำ หนึ่งในหกคนนั้น ได้จ่ายเงินในการหลบหนีสูงถึง 90,000 บาท ($3,000) ตอนนี้ ยังคงเหลืออีกสี่คนในกลุ่มของเราทั้งหมดที่ยังติดอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษและทั้งสี่คนนั้นได้ถูกส่งตัวต่อไปให้แก๊งมิจฉาชีพแก๊งอื่นแล้ว ผมจึงอยากจะขอให้ทางการช่วยเหลือพวกเขาและคนไทยอีกหลายคนในเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยเร็วที่สุด” นายซี กล่าว

เจ้าหน้าที่ลาวรายหนึ่งในจังหวัดบ่อแก้วบอกกับเรดิโอฟรีเอเชียเมื่อวันจันทร์ว่าทางการได้ช่วยเหลือ 4 คนสุดท้ายให้กลับบ้านแล้ว

“หลังจากที่เราได้รับคำขอจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เราได้เขียนจดหมายขอให้ผู้บริหารเขตพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำตรวจสอบอาคารทุกหลังว่ามีแรงงานไทยอยู่ที่นั่นหรือไม่” เจ้าหน้าที่กล่าวโดยไม่เปิดเผยชื่อ

และในวันจันทร์นั้นแรงงานกลุ่มแรกที่หนีออกมาได้พากันเดินทางไปที่สถานีตำรวจจังหวัดเชียงรายเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ในกระบวนการสืบสวน พวกเขายังได้ร้องขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือชาวไทยที่เหลืออีกสี่คน รวมทั้งชาวไทยคนอื่น ๆ ที่อาจติดอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษลาว

พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ว่าคดีนี้คล้ายกับคดีค้ามนุษย์ครั้งก่อน

“เราเชื่อว่ากรณีนี้ไม่แตกต่างกัน อาจมีแรงงานไทยอีกหลายกลุ่มในฝั่งลาว” พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ กล่าว

สื่อไทยรายงานเมื่อวันอังคารว่าคนไทยที่เหลืออีกสี่คนบินกลับประเทศไทยในเช้าวันนั้นหนึ่งในสี่บอกว่าการช่วยเหลือของพวกเขาเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

“มีคนบอกให้เราเก็บเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆ ของเรามา จากนั้นเราก็ขึ้นเครื่องบินกลับประเทศไทย โดยไม่มีค่าใช้จ่าย” ชายรายหนึ่งบอก

หนึ่งในผู้หลบหนีกลุ่มแรกบอกกับเรดิโอฟรีเอเชียโดยขอสงวนนามว่ามีคนไทยจำนวนมากที่ยังคงติดอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ

“เพื่อนคนไทยคนหนึ่งบอกผมว่ามีคนไทยอย่างน้อย 90 คนที่ทำงานในบริษัทของเธอ” ชายรายเดิมบอกต่อ

เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ดำเนินการโดย จ้าว เหว่ย (Zhao Wei)ประธานกลุ่มดอกงิ้วคำ(Dok Ngiew Kham)โดยบริษัทของ จ้าว เหว่ย ถือหุ้นร้อยละ 80 และรัฐบาลลาวถือหุ้นร้อยละ 20

สามเหลี่ยมทองคำเป็นพื้นที่รอยต่ออยู่ในระหว่าง 3 ประเทศ คือไทย ลาว และเมียนมา มาบรรจบกัน เมื่อห้าสิบปีก่อนเคยเป็นแหล่งผลิตเฮโรอีนแหล่งใหญ่ และการค้ามนุษย์ จึงเป็นที่มาของชื่อนี้

ในปี 2561 กระทรวงการคลังสหรัฐได้ประกาศเครือข่ายธุรกิจของ จ้าว เหว่ยซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ คิงส์ โรมัน คาสิโนเป็น “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” และแซงก์ชั่นจ้าว เหว่ยรวมถึงบุคคลและบริษัทอื่นๆ อีกสามแห่งทั่วประเทศลาว ไทย และฮ่องกง

ธุรกิจของจ้าว เหว่ย “ใช้ประโยชน์จากภูมิภาคนี้ด้วยการค้ายาเสพติด, การค้ามนุษย์, การฟอกเงิน, การติดสินบนและการค้าสัตว์ป่า ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการอำนวยความสะดวกผ่าน คิงส์ โรมัน คาสิโนที่ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ”คำแถลงของกระทรวงการคลังกล่าว

ลาว ซึ่งอยู่ภายใต้แรงกดดันของสหรัฐฯ มานานหลายปีให้ดำเนินการปราบปรามการค้ามนุษย์ ปีที่แล้วยังคงอยู่ที่ระดับ 2 ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐประจำปี รายงานปี 2564 ระบุว่า ลาวเพิ่มความพยายามโดยรวมในการต่อสู้กับการค้ามนุษย์ แต่ยังขาดขั้นตอนในการระบุตัวเหยื่อและคัดกรอง และล้มเหลวในการตรวจสอบผู้ต้องสงสัยไม่เพียงพอ ว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ทางเพศ

เรดิโอฟรีเอเชียรายงานในเดือนธันวาคมว่าผู้หญิงลาวจำนวนมากเป็นหนี้จากการทำงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษและเขตเศรษฐกิจเฉพาะในฐานะ “สาวแชท” ในลักษณะงานเหมือนกับชาวไทยทั้ง 15 คน แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวว่าการตั้งเป้าในการขายแชทออนไลน์สูงมาก จนแทบเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นคนงานหญิงที่ไม่สามารถทำเป้าได้ตามข้อตกลงดังกล่าว บริษัทก็สามารถขายพวกเธอในการค้าประเวณีได้ง่ายขึ้น

เรดิโอฟรีเอเชีย หน่วยงานในเครือของเบนาร์นิวส์ รายงาน