ปัจจุบันของหมู่บ้านคอมมิวนิสต์ เมื่อนักรบวางปืนเพื่อเปิดรับอนาคตใหม่

อัสมาดี บือเฮง
2025.01.16
นราธิวาส
ปัจจุบันของหมู่บ้านคอมมิวนิสต์ เมื่อนักรบวางปืนเพื่อเปิดรับอนาคตใหม่ อภิสิทธิ บินซา ประธานวิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยว คนรุ่นใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์กิจกรรมในชุมชน อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส วันที่ 30 ธันวาคม 2567
อารีฟีน แปเฮาะอีเล/เบนาร์นิวส์

“ตอนอยู่ในป่า มีเรื่องเล่าว่า คอมมิวนิสต์ใช้คนไถนา กินเนื้อคนเป็นอาหาร การโฆษณาชวนเชื่อเหล่านั้นทำให้คอมมิวนิสต์กลายเป็นปีศาจที่น่ากลัว” สัญญา บุญเกิด กล่าว

สัญญา บุญเกิด หรือ Kawan Abdi เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา ในปี 2517 ด้วยวัย 14 ปี เขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แปลภาษามลายูรูมี เป็นภาษาไทย และเป็นล่าม 

“ตอนนั้น เรียนอยู่ชั้น ป.7 เป็นช่วงที่โรงเรียนปิดเทอม เลยตามพี่ชายเข้าไปในป่า เพราะอยากเล่นปืน แต่หลังจากได้เรียนรู้หลักคิดของการปฏิบัติ การรับใช้ประชาชน ก็ตัดสินใจไม่กลับออกมา ได้ใช้ชีวิตในป่าร่วม 20 ปี มีหน้าที่ทำหนังสือ อ่านเอกสารแล้วแปลจากภาษาไทยเป็นมลายู จากมลายูเป็นไทย นาน ๆ ครั้ง จึงได้จับปืน” สัญญา เล่าย้อนความทรงจำ 

ย้อนกลับไปในปี 2329 อังกฤษเข้ามายังแหลมมลายู ด้วยการเช่าเกาะปีนังเป็นท่าเรือพาณิชย์ ต่อมาได้รวมปีนัง มะละกา และสิงคโปร์ เป็นนิคมช่องแคบในปี 2369 แรงงานจากอินเดีย และจีน หลั่งไหลเข้ามาในมลายู เกิดการแบ่งชนชั้นระหว่างเชื้อชาติ นำมาสู่กระแสการต่อต้านอังกฤษ 

หลังจากนั้นเกิดขบวนการชาตินิยม และขบวนการคอมมิวนิสต์ขึ้น จนปี 2473 พรรคคอมมิวนิสต์มาลายา (Parti Komunis Malaya-PKM) ถูกตั้งขึ้น ซึ่งแม้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 PKM จะร่วมมือกับอังกฤษต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลง PKM ก็ได้หันมาต่อสู้เพื่อปลดแอกมลายูจากการปกครองของอังกฤษ เกิด “กองทัพปลดแอกประชาชาติมาลายา” (Malayan National Liberation Army - MNLA)

01.jpg
นายสัญญา บุญเกิด ผู้เป็นล่ามภาษาให้กับพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา เล่าถึงประวัติศาสตร์ของพรรค หน้าพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนิสต์มาลายา อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส วันที่ 30 ธันวาคม 2567 (อารีฟีน แปเฮาะอีเล/เบนาร์นิวส์)

มีความขัดแย้งทวีความรุนแรง ปี 2491 อังกฤษประกาศภาวะฉุกเฉิน และปราบปรามพรรคคอมมิวนิส์มาลายา ทำให้พรรคตอบโต้ด้วยการขยายการเคลื่อนไหวและแบ่งกองกำลังในการรับผิดชอบพื้นที่ต่าง ๆ โดยกรมที่ 10 เคลื่อนไหวและปฏิบัติการในพื้นที่รัฐปาหัง

“ชุดอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ คือ ความเท่าเทียม และการเคารพในความหลากหลาย เป็นการร่วมกันต่อสู้ของชาวบ้านชนชั้นแรงงานและชาวนา ในกรมที่ 10 แม้จะมีชาวมลายูเป็นสมาชิกหลัก แต่กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น จีน อินเดีย และญี่ปุ่น ต่างได้รับการเคารพมาโดยตลอด มีเป้าหมายร่วมกันชัดเจนคือ ขับไล่จักวรรดินิยมอังกฤษ” อภิสิทธ์ บินซา ลูกหลานของอดีตสมาชิกกรมที่ 10 ของ PKM กล่าว

จากมลายูสู่เมืองไทย

การต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกับ PKM ดำเนินมาเรื่อย ๆ แม้มี “การเจรจาบาลิ่ง” (Baling Talk) ในเดือน ธ.ค. 2498 ระหว่างตนกูอับดุลราห์มาน นายกรัฐมนตรี กับ จีนเป็ง เลขาธิการ PKM แต่การเจรจาก็ล้มเหลว ทำให้การต่อสู้ทวีความรุนแรงขึ้น 

“รัฐบาลมาเลเซียปฏิเสธที่จะรับรอง PKM เป็นพรรคการเมืองตามกฎหมาย มีความพยายามจับกุมและลอบสังหารผู้แทนเจรจา สมาชิกพรรคถูกปราบปราม จนต้องย้ายมาตั้งถิ่นฐานกันตามแนวชายแดนไทย” สัญญา กล่าว

กองกำลังของ PKM ต้องหนีการปราบปรามเข้ามาอยู่ในเขตประเทศไทย เมื่อมาเลเซียได้รับอิสรภาพ ในวันที่ 31 ส.ค. 2500 สถานะของ MNLA ที่เคยมีกองกำลังมากถึง 12,000 คน เหลือสมาชิกเพียง 1,800 คน มีความพยายามในการเจรจาอีก 2 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายจัดขึ้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 

การเจรจาครั้งนั้น อำนวยการโดยรัฐบาลไทย มี พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รอง ผอ.รมน.) ขณะนั้นเป็นพยาน นำไปสู่ข้อตกลงสันติภาพ (Persetujuan Damai Hadyai) ในปี 2532

08 (1).jpg
ป้ายทางเข้า หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนาที่ 12 แห่งพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา วันที่ 30 ธันวาคม 2567 (อารีฟีน แปเฮาะอีเล/เบนาร์นิวส์)

รัฐบาลไทยยื่นทางเลือก 2 ทาง ให้สมาชิก PKM คือ 1. กลับมาเลเซีย และ 2. เข้าร่วมเป็นผู้พัฒนาชาติไทย ให้ที่ดินทำกินครอบครัวละ 15 ไร่ และให้สัญชาติไทยเมื่ออยู่ครบ 5 ปี

พ่อของอภิสิทธ์เลือกทางที่ 2 ปัจจุบัน อภิสิทธ์กลายเป็นประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12 ชุมชนแห่งนี้เองที่ในอดีตเคยเป็นฐานที่มั่นของ กรมที่ 10 เมื่อครั้งย้ายถิ่นฐานจากมาเลเซียมาตั้งรกรากในชุมชนไอร์ตากอ ต.สุคิริน อ.สุคิริน จ.นราธิวาส

เปลี่ยนสนามรบเป็นที่ท่องเที่ยว

“พ่อเล่าว่า หลังบรรลุข้อตกลงสันติภาพ กรมที่ 10 เลือกที่จะไม่มอบอาวุธให้กับรัฐบาลไทยหรือมาเลเซีย พวกเขาระเบิดอาวุธทิ้ง ซึ่งแสดงนัยทางการเมือง แสดงศักดิ์ศรี และสิ่งนี้มันมีความหมายกับคนที่ต่อสู้มาโดยตลอด” อภิสิทธ์ กล่าว 

หลังบรรลุข้อตกลงสันติภาพ กรมที่ 10 ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ชุมชนรัตนกิตติ ก่อนได้รับพระราชทานชื่อใหม่เป็น ชุมชนจุฬาภรณ์พัฒนาที่ 12 แรกเริ่มมีสมาชิก 350 คน 140 ครัวเรือน 

“ช่วงเดือนสองเดือนแรก พวกเรายังคงใช้ชีวิตหมู่ มีโรงนอนร่วมกัน มีครัวกลาง ระหว่างการสร้างบ้าน เราได้รับที่ดิน 15 ไร่ บ้านหลังเล็กๆ แล้วก็เงินสด 3,000 บาท การเปลี่ยนผ่านมันไม่ง่ายเลย เราต้องเปลี่ยนมากรีดยาง เพื่อส่งลูกเรียนหนังสือ” แวไซตน วานิ กล่าว

แวไซตน สูญเสียแม่ตั้งแต่อายุ 8 ปี หลังจากนั้น เธอได้รับการดูแลจากอา ซึ่งเป็นสมาชิก PKM ความรักจากสมาชิก PKM คนอื่น ๆ ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างมาก ในปี 2524 เมื่อเธออายุได้ 14 ปี จึงตัดสินใจเข้าร่วมกับ PKM 

เมื่อหมอกควันของสงครามจางไป ปัจจุบัน จุฬาภรณ์พัฒนา 12 ถูกพูดถึงในฐานะหมู่บ้านกลางทะเลหมอกยามเช้า รายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาชนิด คละคลุ้งกลิ่นของดอกไม้มากสายพันธุ์ ที่เติบโตงอกงาม ณ ป่าต้นน้ำสายบุรี 

09 (1).jpg
แวไซตน วานิ อายุ 57 ปี อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา ปัจจุบันทำสวนและเป็นแม่บ้านดูแลห้องพักของชุมชน วันที่ 30 ธันวาคม 2567 (อารีฟีน แปเฮาะอีเล/เบนาร์นิวส์)

“พอชุมชนเปลี่ยนมาทำท่องเที่ยว คนในชุมชนก็มีงานทำ เด็กก็ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา แม่บ้านได้ดูแลห้องพักให้กับแขกที่มาเยือน เยาวชนได้อาชีพเสริมเป็นทีมงานดูแลการเดินป่า และล่องแก่ง ได้หารายได้ให้กับครอบครัว” ประเสริฐ บุญเกิด อีกหนึ่งสมาชิกของหมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12 กล่าว

ทุกวันนี้ หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12 กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เยาวชนในหมู่บ้านกลายเป็นมัคคุเทศก์นำเดินป่า สำรวจร่องรอยประวัติศาสตร์ของกรมที่ 10 ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ต้นน้ำ ขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสซึ่งเคยผ่านการสู้รบก็ยังคงมีบทบาทในระบบนิเวศที่ถูกสร้างขึ้นใหม่นี้ 

นอกจากที่พัก และธรรมชาติแล้ว หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12 ยังมีกิจกรรมหลายอย่างให้ผู้มาเยือนทำ ไม่ว่าจะเป็นการล่องแก่งในแม่น้ำสายบุรี, การร่อนทองร่วมกับชาวบ้าน หรือการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่เก็บสิ่งของเครื่องใช้ รวมถึงอาวุธต่างๆ ซึ่งหลงเหลือจากการต่อสู้ 

“กิจกรรมร่อนทองเป็นอาชีพเสริมของคนในชุมชนประมาณ 80 ครัวเรือน หากฝนตกกรีดยางไม่ได้ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะร่อนทองตามสายน้ำที่ไหลผ่านชุมชน ทองที่ร่อนได้ ปัจจุบัน ราคากรัมละ 2,500 บาท ชุมชนมีกติการ่วมกันว่า ต้องร่อนทองด้วยวิธีดั้งเดิมเท่านั้น เพื่อรักษาสภาพความสมบูรณ์ของสายน้ำไว้” ซุเฟียน มัคคุเทศก์รุ่นเล็กวัย 20 ปี กล่าว

นอกจากประวัติศาสตร์ที่หลงเหลืออยู่ในพิพิธภัณฑ์ อาหารที่แม่ครัวของชุมชนปรุงบริการนักท่องเที่ยว ก็ยังคงสะท้อนประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ เพราะยังคงใช้การเสิร์ฟด้วยกระบอกไม้ไผ่ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกันกับ สมัยที่สมาชิก PKM ใช้เมื่อครั้งดำรงชีวิตในป่า เหล่านี้คล้ายว่าเป็นการสะท้อนอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่ถูกปรับให้เข้ากับโลกยุคปัจจุบัน 

“หลายคนที่มาเยือน บอกกับเราว่า เขาเข้าใจผิดเรื่องคอมมิวนิสต์มาโดยตลอด แต่หลังจากได้มาเยือนก็เข้าใจทุกอย่างมากขึ้น เมื่อก่อน ผมเองก็เคยรู้สึกหดหู่จากเรื่องเล่าที่หลายคนมักบอกว่า คอมมิวนิสต์เป็นคนไม่ดี โหดร้าย แต่ปัจจุบัน ผมภูมิใจในความเสียสละของพ่อและผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน เพราะกว่าที่จะมีหมู่บ้านแห่งนี้ในปัจจุบัน ทุกอย่างล้วนเกิดจากการเสียสละของคนรุ่นก่อนหน้าทั้งสิ้น” ประเสริฐ กล่าว

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง