วันแรกที่คนไทยทุกเพศได้สมรสอย่างเท่าเทียม 23 ม.ค. 68
2025.01.23
กรุงเทพฯ

“เราได้อ่านอีเมลที่ฝ้ายเขียน แล้วก็หลงรักโดยที่ไม่เคยเจอหน้า เราอ่านข้อความของเขาแล้วก็รู้สึกว่า ถ้าเราเจอเขา แล้วเขามารักเรา มันคงจะมีความสุขมาก แล้ววันนึงเราก็ได้เจอกัน ถึงอายุเราจะห่างกัน 15 ปี แต่พอเราได้เจอกัน เราก็ไม่เคยแยกจากกันอีกเลย” หน่อง-รุ่งทิวา ตังคโนภาส กล่าวกับเบนาร์นิวส์
หน่องในวัย 59 ปี เล่าจุดเริ่มต้นของความรักที่เธอมีต่อ ฝ้าย-ภัลลวี จังตั้งสัจธรรม คู่ชีวิตวัย 44 ปี ของเธอ หน่องนิยามสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับฝ้ายว่า “บุพเพสันนิวาส”
23 ม.ค. 2568 คือวันที่ หน่อง-ฝ้าย รอคอยมานาน เพราะมันจะเป็นวันที่ทั้งคู่จะได้จดทะเบียนสมรส กลายเป็นคู่ชีวิตที่ถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากที่พวกเธอ และคนเพศหลากหลาย (LGBTQ+) ต้องต่อสู้เรียกร้องสิทธิธรรมดานี้ตลอดหลายปี
บรรยากาศของสำนักงานเขต หรือที่ว่าการอำเภอหลายที่จึงเป็นไปด้วยความคึกคัก เพราะคู่รักเพศหลากหลายได้เข้าไปจดทะเบียนเพื่อยืนยันการสมรสอย่างถูกกฎหมายเป็นครั้งแรก
“ครั้งแรกที่เราอยากเรียกร้อง เพราะ แม่ของพี่หน่องป่วยหนัก ต้องเข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน แต่เราเองที่ดูแลแม่ของพี่หน่องอยู่ กลับไม่มีสิทธิในการเซ็นยินยอมให้รักษา เพราะไม่มีสถานะคู่สมรสตามกฎหมาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนั้นมันเป็นนาทีชีวิต เราจึงเริ่มเรียกร้องให้มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพราะ เราต้องการมีสิทธิทางกฎหมายกับคู่ครองของเรา ดูแลคนที่เราอยู่ด้วย กินนอนด้วยกัน” ฝ้าย กล่าว
หลังเหตุการณ์ที่แม่ล้มป่วย ฝ้ายและหน่อง กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระแสเรียกร้องกฎหมายสมรสเท่าเทียม หน่องเล่าว่า เธอทั้งคู่เคยแต่งชุดวิวาห์ไปขอจดทะเบียนสมรสที่เขต เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ แม้รู้ว่า ผลลัพธ์ของการแสดงออกครั้งนั้นจะเป็นความผิดหวัง และการถูกปฏิเสธก็ตาม

อย่างไรก็ตาม หลังจากหลายปีของการเรียกร้อง วันที่ 27 มี.ค. 2567 สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านความเห็นชอบ ร่าง พรบ. แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) หรือ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ด้วยคะแนนเห็นชอบ 400 คน งดออกเสียง 2 คน และไม่ลงคะแนน 3 คน
ตามด้วย วุฒิสภามีมติเห็นด้วย 130 คน ไม่เห็นด้วย 4 คน และงดออกเสียง 18 คน นำมาสู่การประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษา เมื่อเดือน ก.ย. 2567 ซึ่งทำให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ภายใน 120 วัน ให้หลัง
“ตอนนี้ เราสมหวังแล้ว เพราะเราสามารถก้าวต่อไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย กฎหมายนี้มันทำให้รู้สึกว่าประเทศไทยทันสมัย เพราะได้เปิดโลกทัศน์ใหม่แล้ว สามารถให้ความสุขกับทุก ๆ คน ที่มีความรักอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าเขาจะอยู่ในเพศไหน ขอแค่เป็นคนที่เรารัก” หน่อง กล่าวในวันที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้
ก่อนหน้านี้ ปี 2544 กระทรวงมหาดไทยเคยมีแนวคิดที่จะผลักดันแก้ไขกฎหมายการสมรสเพื่อให้คนเพศหลากหลายสามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ แต่กระแสสังคมยังคงต่อต้านทำให้กฎหมายตกไป กระทั่งในปี 2555 รัฐบาลได้เสนอร่าง พรบ. คู่ชีวิต เข้าสู่การพิจารณา แต่เมื่อเกิดรัฐประหาร ปี 2557 การพิจารณากฎหมายดังกล่าวจึงตกไปอีกครั้ง
ในปี 2565 ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมถูกเสนอเข้าสู่สภาอีกครั้ง ขณะเดียวกัน รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เสนอร่าง พรบ. คู่ชีวิต เข้าสู่การพิจารณาเช่นกัน ซึ่งแม้กฎหมายจะมีความคล้ายกัน แต่ร่าง พรบ. คู่ชีวิต ให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศจดทะเบียนกันได้ แต่จะมีสถานะเป็น “คู่ชีวิต” ซึ่งด้อยสิทธิทางกฎหมายกว่า “คู่สมรส”
อย่างไรก็ตาม สภาผู้แทนราษฎรได้หมดวาระลงก่อนจะผ่านกฎหมายได้ กระทั่งถึงรัฐสภาสมัยปัจจุบัน จึงได้มีการเสนอกฎหมายสมรสเท่าเทียมอีกครั้ง และผ่านเป็นกฎหมายได้จริงในปี 2567
“ด้วยพลังของความรักของทุกคน ทำให้วันนี้ ประเทศไทยได้บันทึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ที่ทำให้ทั้งโลกรับรู้ว่า ประเทศไทยโอบรับความรักทุกรูปแบบ ยอมรับความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย และขอแสดงความยินดีกับคู่สมรสใหม่ทุกคู่ พร้อมเชิญชวนให้ทุกคนมาร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จนี้ไปด้วยกัน” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในวันที่ 23 ม.ค. 2568
ทั้งนี้ กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะทำให้คู่สมรสเพศหลากหลายสามารถจดทะเบียนเป็นสมรส-หย่าได้, คู่สมรสมีสิทธิในการจัดการทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสที่ทำมาหาได้ร่วมกัน รวมถึงสิทธิในการดูแลผลประโยชน์จากทรัพย์สิน, คู่สมรสได้รับสิทธิได้รับประโยชน์และสวัสดิการจากรัฐในฐานะคู่สมรส, คู่สมรสสามารถให้ความยินยอมต่อการรักษาพยาบาล และสามารถรับอุปการะบุตรบุญธรรมร่วมกันได้

อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายบังคับใช้จริงแล้ว แต่นัยนา สุภาพึ่ง อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และ อดีตกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ชี้ว่า รัฐยังมีสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้เพื่อให้การแต่งงานของคู่หลากหลายทางเพศมีสิทธิเท่าเทียมกับคู่ชาย-หญิงอย่างแท้จริง
“กฎหมายสมรสเท่าเทียมถือเป็นความสำเร็จ 80% แต่อีก 20% มันยังเหลือเรื่องภาษาที่ไม่มีความเป็นกลางทางเพศอยู่ การที่เราไม่มีคำว่าเพศในประมวลกฎหมายแพ่งจะทำให้คนเสมอกันอย่างแท้จริง รัฐบาลจะต้องรีบดำเนินการแก้กฎหมายลูกอีก 40-50 ฉบับ ที่ไม่มีความเป็นกลางทางเพศ แก้คำว่า หญิง, ชาย, สามี และภรรยา เพื่อให้มีความเป็นกลางในการใช้กฎหมายเท่ากันทุกเพศ” นัยนา กล่าวกับเบนาร์นิวส์
การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม นับเป็นความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชน ที่ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มีกฎหมายที่อนุญาตให้คนเพศหลากหลายแต่งงานกันอย่างถูกกฎหมาย และเป็นประเทศที่สามในเอเชีย ถัดจากไต้หวัน และเนปาล
บรรยากาศของประเทศไทยในวันนี้จึงสวนทางกับสหรัฐอเมริกา หลังจากการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อ 20 ม.ค. 2568 และประกาศว่า สหรัฐอเมริกายอมรับเพียงแค่ เพศชาย-หญิงเท่านั้น และไม่ให้หน่วยงานรัฐรับคนเพศหลากหลายเข้าทำงาน
ปัจจุบัน เป็นเวลาร่วม 20 ปี ที่ฝ้าย-หน่อง ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน โดยมีโอโซน ลูกสาววัย 24 ปี เป็นส่วนเติมเต็มของครอบครัว
“ช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน 3 คน พี่หน่องทำกับข้าวให้กิน เราได้สอนการบ้านลูก พาลูกเข้านอน ตื่นเช้ามาถักเปีย พาเขาไปโรงเรียน การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน มันคือความสุข เท่านี้มันเพียงพอแล้วสำหรับพวกเรา” ฝ้ายทิ้งท้าย