ผู้ลี้ภัยเมียนมาเผชิญความไม่แน่นอน หลังสหรัฐฯ ระงับโครงการตั้งถิ่นฐานใหม่
2025.02.12
ค่ายผู้ลี้ภัยอุ้มเปี้ยมใหม่

ซอ บา อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่ชายแดนไทย-เมียนมา มาเป็นเวลา 16 ปี เมื่อเดือนที่แล้วเขาได้รับข่าวที่เขาเฝ้ารอคอยมาหลายปี คือเขาและครอบครัวจะขึ้นเครื่องบินไปตั้งรกรากใหม่ในสหรัฐอเมริกา
มันเป็นการรอคอยอันยาวนานมากสำหรับ ซอ บา ที่ปัจจุบันเขาอายุ 40 ปี ซึ่งชื่อที่ปรากฏในบทความชิ้นนี้เป็นนามสมมุติด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เขาได้ยื่นคำร้องขอตั้งรกรากใหม่ไม่นานหลังจากที่เดินทางมาถึงค่ายในปี 2551
เขาตั้งตารออย่างมีความหวัง โดยเจ้าหน้าที่จากองค์กรระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration - IOM) ได้นำครอบครัวของเขา และครอบครัวอื่น ๆ ร่วม 22 คน จากค่ายผู้ลี้ภัยอุ้มเปี้ยมใหม่ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองแม่สอดซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนของไทยเมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา
พวกเขาต้องรอที่นั่นเพื่อขึ้นเครื่องบินไปกรุงเทพฯ เพื่อนที่จะเดินทางต่อไปยังสหรัฐอเมริกา
อิสรภาพและชีวิตใหม่กำลังรออยู่ แต่สามวันต่อมา เจ้าหน้าที่จาก IOM ได้แจ้งข่าวร้ายให้พวกเขาทราบ นั่นคือ ผู้ลี้ภัยทั้ง 26 คน จะต้องกลับเข้าค่ายผู้ลี้ภัย เหตุเพราะรัฐบาลชุดใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์กำลังจะออกสั่งระงับกระบวนการและการเดินทางของผู้ลี้ภัยทั้งหมดเข้าสู่สหรัฐฯ
ป้ายที่ถูกติดไว้บนบอร์ดภายในอาคารแจกอาหาร ในค่ายผู้ลี้ภัยอุ้มเปี้ยมใหม่ ที่ชายแดนไทย-เมียนมา อำเภอพบพระ จังหวัดตาก วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 (ชาคีล/เอพี)
ไม่กี่วันต่อมา หลังจากเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งของประธานาธิบดี หรือที่เรียกว่าคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อระงับการตั้งถิ่นฐานใหม่ของผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเพื่อ “ยุติการรุกรานอเมริกาของผู้อพยพโดยทันที”
คำสั่งฝ่ายบริหารดังกล่าวระบุว่าสหรัฐฯ “ไม่มีความสามารถในการรองรับผู้อพยพจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโดยไม่กระทบต่อทรัพยากรที่มีสำหรับชาวอเมริกัน รวมถึงการรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงของพวกเขา และการทำให้ผู้ลี้ภัยสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม”
ซอ บา รู้สึกสิ้นหวังเมื่อกลับมาถึงกระท่อมอันผุพังและทรุดโทรมของครอบครัวเขาที่ตั้งอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย
"ตอนนี้เราหมดหวังแล้ว" เขากล่าว
ถูกทิ้งในความไม่แน่นอน
ครอบครัวของซอ บา อยู่ในกลุ่มผู้ลี้ภัยหลายร้อยหรืออาจถึงหลายพันคนทั่วโลกที่ถูกระงับการเดินทางก่อนจะเดินทางเข้าสหรัฐฯ
ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี มีผู้ลี้ภัยทั่วโลกกว่า 10,000 คน ที่ผ่านการคัดกรองแล้วและมีกำหนดการเดินทางไปยังสหรัฐฯ ก่อนวันที่ 20 มกราคม อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามีผู้ลี้ภัยกี่คนที่ได้เดินทางเข้าสหรัฐฯ ก่อนวันดังกล่าว
ที่ค่ายผู้ลี้ภัยอุ้มเปี้ยมใหม่ ผู้ลี้ภัยประมาณ 400 คน กำลังรอการย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในสหรัฐฯ แต่ตอนนี้พวกเขาคงต้องรอคอยไปอีกนาน
ค่ายผู้ลี้ภัยอุ้มเปี้ยมใหม่ ที่ชายแดนไทย-เมียนมา อำเภอพบพระ จังหวัดตาก วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 (ชาคีล/เอพี)
ซอ บา และครอบครัวมั่นใจอย่างมากว่าพวกเขาจะได้ไปตั้งรกรากใหม่ จนถึงขั้นยกข้าวของทั้งหมด รวมทั้งเสื้อผ้า ให้กับเพื่อนบ้านและคนรู้จัก ในขณะที่ลูก ๆ ของพวกเขาก็ลาออกจากโรงเรียนและคืนหนังสือไปแล้ว
“เมื่อเรากลับมาที่นี่ (ที่อุ้มเปี้ยม) เราต้องเผชิญกับปัญหาและความยากลำบากมากมาย” โดยเฉพาะปัญหาด้านการศึกษาของลูก ๆ ของพวกเขา เขากล่าวกับ เรดิโอฟรีเอเชียภาคภาษาเมียนมา ซึ่งเป็นบริการข่าวออนไลน์ร่วมเครือของเบนาร์นิวส์
“ลูก ๆ ของเราไม่ได้ไปโรงเรียนมาหนึ่งเดือนแล้ว ตอนนี้พวกเขากลับมาแล้วอีกครั้ง และการสอบปลายภาคของพวกเขาก็ใกล้เข้ามาแล้ว” เขากล่าว “ลูก ๆ ของเราไม่มีหนังสือเรียนอีกต่อไปเมื่อพวกเขากลับไปเรียน ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะสอบผ่านหรือสอบตกในปีนี้”
งานเผยแผ่ศาสนา
ซอ บา หลบหนีไปยังค่ายผู้ลี้ภัยเนื่องจากเขาถูกหมายหัวจากการทำงานเผยแผ่ศาสนาคริสต์ของเขา
เดิมทีเขามาจากเมืองปะเต็ง ในภูมิภาคอิรวดี ทางตะวันตกของเมียนมา โดยได้มีเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลทหารมาหาเขาในปี 2552 และบอกให้เขายุติกิจกรรมการเผยแพร่ศาสนา
เมื่อเขาแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองและปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่ง รัฐบาลทหารจึงส่งตำรวจเข้าไปจับกุมเขา
เขาหลบหนีมาประเทศไทย และมาอยู่ที่ค่ายอุ้มเปี้ยมใหม่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยที่นั่น เขาได้พบกับภรรยาและมีลูกชายและลูกสาวด้วยกัน ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และประถมศึกษาปีที่ 2 ตามลำดับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คลื่นผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา เป็นบททดสอบนโยบายแรงงานอพยพของไทย
รัฐบาลเมียนมาปิดเส้นทางขนส่งน้ำมัน เข้าแหล่งสแกมเซ็นเตอร์ทางชายแดนเมียวดี
ทำไมลูกแรงงานข้ามชาติต้องได้เรียนหนังสือ
ผู้ลี้ภัยหญิงอีกคนในค่ายชื่อ ทิน มิน โซ กล่าวว่า สามีและลูกสองคนของพวกเขาได้เข้ารับการตรวจร่างกายหลายครั้งและได้รับจดหมายตอบรับให้ย้ายไปรกรากใหม่ ซึ่งทำให้พวกเขามีชื่ออยู่ในบัญชีรอเรียกเพื่อเดินทางได้
เธอหนีออกจากบ้านในเขตพะโค ทางตอนกลางของเมียนมา เนื่องจากเข้าร่วมการปฏิวัติผ้ากาสาวพัสตร์ (Saffron Revolution) ในปี 2550 ซึ่งกองทัพได้ใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามการประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่นำโดยพระภิกษุสงฆ์
ทิน มิน โซ และผู้ลี้ภัยคนอื่น ๆ ในค่ายบอกกับเรดิโอฟรีเอเชียว่า พวกเขากลัวที่จะกลับไปเมียนมาเนื่องจากถูกคุกคามข่มเหง โดยประเทศนี้ได้เข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมืองหลังจากที่กองทัพโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2564 ผู้อพยพหลายคนบอกว่า พวกเขาไม่มีบ้านหรือหมู่บ้านที่จะกลับไปอีกแล้ว แม้ว่าพวกเขาอยากจะกลับไปก็ตาม
เนื่องจากโครงการผู้ลี้ภัยของสหรัฐฯ ถูกระงับ “ตอนนี้เรากังวลอย่างมากเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของเรา เพราะเราต้องดูแลค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาและความเป็นอยู่ของลูกทั้งสองคนของเรา” เธอกล่าว
เมื่อเรดิโอฟรีเอเชียติดต่อผู้จัดการค่ายและสำนักงานกิจการผู้ลี้ภัย พวกเขาตอบกลับโดยบอกว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
สหรัฐฯ ตั้งรกรากใหม่ให้ผู้ลี้ภัยแล้ว 3 ล้านคน
ตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา สหรัฐฯ ได้จัดสรรให้ผู้ลี้ภัยได้ตั้งรกรากใหม่มากกว่า 3 ล้านคน ซึ่งผู้คนเหล่านี้ลี้ภัยมาเพราะเกรงกลัวต่อการถูกข่มเหงรังแกเนื่องมาจากเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ การเมือง หรือการเป็นสมาชิกในกลุ่มสังคมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ขัดแย้งกับรัฐบาล
ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน ของปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้จัดสรรผู้ลี้ภัยไปยังสหรัฐฯ จำนวน 100,034 คน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดในรอบ 30 ปี โดยผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่มาจากสาธารณรัฐคองโก รองลงมาคืออัฟกานิสถาน เวเนซุเอลา และซีเรีย ส่วนเมียนมาจัดอยู่ในอันดับที่ 5 คิดเป็น 7.3% ตามข้อมูลของศูนย์การศึกษาด้านการอพยพ (Center for Immigration Studies)
ตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เมียนมาเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ลี้ภัยตั้งรกรากในสหรัฐฯ มากที่สุด ประมาณ 76,000 คน ตามมาด้วย แคนาดาและออสเตรเลีย ตามรายงานของ สถานทูตสหรัฐฯ ในประเทศไทย
ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนสิ้นสุดวาระของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน สหรัฐฯ ได้รับผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาจากประเทศไทยหลายร้อยคน
ทางเข้าค่ายผู้ลี้ภัยโอนพยาน ใกล้พื้นที่แม่สอด ภาพถ่ายไม่ระบุวันที่ (เรดิโอฟรีเอเชีย)
เมื่อเรดิโอฟรีเอเชียขอความคิดเห็นจาก IOM และสถานทูตสหรัฐฯ ในประเทศไทย แต่พวกเขายังไม่ได้ตอบกลับ ขณะเดียวกันเรดิโอฟรีเอเชีย กำลังติดต่อ องค์กรเดอะบอร์เดอร์คอนซอร์เทียม (The Border Consortium -TBC) ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ให้ความช่วยเหลือด้าน อาหาร ที่พัก และการสนับสนุนอื่น ๆ แก่ผู้ลี้ภัยจากเมียนมาประมาณ 120,000 คน ที่อาศัยอยู่ใน 9 ค่ายผู้ลี้ภัย ทางฝั่งตะวันตกของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ที่ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยรายหนึ่งในพื้นที่ ให้สัมภาษณ์กับเรดิโอฟรีเอเชียว่า ผู้ลี้ภัยที่ถูกส่งตัวกลับไปยังค่ายอุ้มเปี้ยมใหม่จะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการปรับตัวเข้ากับชีวิตในค่ายอีกครั้ง
“เมื่อพวกเขากลับมา พวกเขาจะประสบปัญหาในการหาอาหารและที่พัก” เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือรายนี้กล่าว พร้อมระบุว่า “พวกเขาได้มอบข้าวของให้ญาติไปหมดแล้ว และบางส่วนก็ถูกขายไปแล้วด้วย”
บริการทางการแพทย์ของไทย
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ไทยกำลังดำเนินการให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาในค่ายผู้ลี้ภัยต่าง ๆ หลังจากที่บริการด้านสุขภาพได้รับผลกระทบจากการระงับความช่วยเหลือจากต่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมาตรการที่ออกภายใต้คำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยเช่นกัน
การระงับความช่วยเหลือนี้ส่งผลให้เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่จากค่ายผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาทั้ง 9 แห่ง ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ได้จัดให้มีการประชุมร่วมกับ หน่วยงานของไทยและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
ที่ประชุมมีมติให้ค่ายผู้ลี้ภัย ยังคงใช้คลินิกและอุปกรณ์ทางการแพทย์ขององค์กรช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากสหรัฐฯ อย่าง องค์การอินเตอร์เนชั่นแนล เรสคิว คอมมิตตี (International Rescue Committee - IRC) ในการรักษาผู้ลี้ภัยในค่าย ตามรายงานของ ซอ พเว เซ เลขาธิการคณะกรรมการผู้ลี้ภัยกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง
“ผมรู้สึกโล่งใจ เมื่อพวกเขาบอกว่า IRC อนุมัติให้ค่ายสามารถใช้คลินิกและอุปกรณ์ของพวกเขาต่อไปได้เพื่อการรักษาพยาบาล” เขากล่าว
ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว บุคลากรทางการแพทย์ของไทยจะให้บริการดูแลสุขภาพในช่วงเวลากลางวัน ตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ของค่ายผู้ลี้ภัยจะดูแลในช่วงกลางคืนและวันหยุดสุดสัปดาห์
นอกจากนี้ การระงับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ องค์กรช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอื่น ๆ บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา เช่น คลินิกแม่ตาว ซึ่งให้บริการทางการแพทย์ฟรีแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ รวมถึงการให้ความรู้ด้านสุขภาพและบริการสังคม เจ้าหน้าที่เปิดเผยกับเรดิโอฟรีเอเชีย