กองทัพเรือยืนยัน เรือหลวงสุโขทัยซ่อมบำรุงสม่ำเสมอ
2023.01.06
กรุงเทพฯ
โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยกับเบนาร์นิวส์ว่า เรือหลวงสุโขทัย ซึ่งอับปางลงในทะเล จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อ 18 ธันวาคม 2565 ได้รับการตรวจสภาพ และซ่อมบำรุงอย่างสม่ำเสมอ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีการเปิดเผยข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตที่ระบุว่า ปี 2561 ท้องของเรือหลายจุดมีความหนาต่ำกว่ามาตรฐานที่จะสามารถปฏิบัติการได้ นำไปสู่การตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจป็นสาเหตุของการอับปาง
พล.ร.อ. ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ ได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวว่า เอกสารรายละเอียดความหนาของแผ่นเหล็กท้องเรือของเรือหลวงสุโขทัย ที่ถูกเผยแพร่เป็นเอกสารจริง แต่เป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
“อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดชวัดความหนา เมื่อวันที่ 23-24 กรกฎาคม 61 เพื่อทราบสภาพแผ่นเหล็กตัวเรือตลอดลำ มีแผ่นเหล็กบางจุดหนาน้อยลงจากเดิมเกิน 25 เปอร์เซ็นต์ 13 จุด ซึ่งเป็นข้อมูลจริงตามที่มีการนำเสนอในสื่อออนไลน์ แต่ยังไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด เนื่องจากขาดข้อมูลการซ่อมทำ ภายหลังการซ่อมทำแล้วได้มีการตรวจสอบแนวเชื่อมตามมาตรฐานคุณภาพของกรมอู่ทหารเรือ ก่อนการทดลองเรือในทะเลจริง เพื่อส่งมอบให้กับกองเรือยุทธการ เมื่อวันที่ 28 มกราคม 64” พล.ร.อ. ปกครอง กล่าว
“ยืนยันว่า เรือทุกลำของกองทัพเรือมีวงรอบซ่อมบำรุงใหญ่และเล็ก โดยเรือหลวงสุโขทัยเข้าซ่อมบำรุงในปี 61 ปี 63 ซ่อมเสร็จ และได้ส่งมอบคืนกองเรือยุทธการปี 64 ก็ได้มีการออกใช้งานในราชการโดยตลอด ตามหลักการอายุของชุดเรือหลวงสุโขทัยมีอายุ 40 ปี ตอนนี้ ก็ 36 ปีแล้ว ถ้าไม่อับปาง วงรอบการตรวจสภาพอีกครั้ง น่าจะอีกประมาณ 3 ปีข้างหน้า เพื่อตรวจสอบว่าจะมีการซ่อมบำรุงอีกหรือไม่ ถ้าซ่อมแล้วคุ้มค่าหรือไม่” พล.ร.อ. ปกครอง กล่าวเพิ่มเติม
การชี้แจงครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2566 เฟซบุ๊กเพจ CSI LA ได้เปิดเผยข้อมูลเอกสารราชการที่ระบุว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 กรมอู่ทหารเรือ ได้ตรวจพบเหล็กพื้นเรือส่วนที่อยู่ใต้น้ำอย่างน้อย 13 จุดของเรือหลวงสุโขทัย มีความหนาลดลงเกิน 25 เปอร์เซ็นต์ นำไปสู่การตั้งข้อสงสัยโดยผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตว่า การซ่อมบำรุงเรือสุโขทัยมีมาตรฐานหรือไม่
“แผ่นเหล็กที่ใช้ซ่อมบำรุงเรือหลวงสุโขทัย ในปี 2561 เคยมีปัญหา ไม่ผ่านมาตรฐานกองควบคุมคุณภาพการต่อเรือ เพราะพบว่าแผ่นเหล็กตัวเรือใต้แนวน้ำบางกว่าที่กำหนดไว้ ควรเปลี่ยนเพราะความหนาลดลง โดยเฉพาะจุด A5 K6 A7 ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ของเรือ เพราะมันอยู่ตรงห้องเครื่องของเรือพอดี ถ้าน้ำท่วมจุดนี้ก็จะทำให้เครื่องดับไฟ้ฟ้าลัดวงจร เรือเป็นอัมพาตในทะเล เวลารบกันคู่ต่อสู้เขาก็จะยิงกันตรงจุดนี้” CSI LA ระบุ
ล่าสุดในวันศุกร์นี้ เฟซบุ๊กเพจ CSI LA ระบุในเพจว่า "ขอบคุณกองทัพเรือที่ออกมาชี้แจง ตอบโต้ข้อมูลที่ทางเพจนำเสนอไป แต่เรามีคำถามว่า ทำไมจุดที่ได้รับการซ่อมแซมถึงไม่ตรงกับจุดกองทัพเสนอให้มีการเปลี่ยนแผ่นเหล็กที่บางลง โดยเฉพาะจุด K6 A7 A5" และยังระบุอีกว่า "เรายังมีเอกสารสัญญา 12/2561 แสดงให้เห็นว่ากองทัพไม่ได้ซ่อมเรือเอง แต่จ้างบริษัทเอกชนมาซ่อมให้"
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2565 เรือหลวงสุโขทัย มีภารกิจเดินทางไปยังจังหวัดชุมพร แต่เนื่องจากมีคลื่นลมแรงจึงทำให้เรือเสียการทรงตัว และมีน้ำทะเลบางส่วนไหลเข้าระบบเครื่องไฟฟ้าผ่านท่อไอเสียข้างเรือ ซึ่งนำไปสู่การอับปาง พร้อมกำลังพล 105 นาย โดยต่อมากองทัพเรือ และหลายหน่วยงานเร่งให้การช่วยเหลือกำลังพล โดยถึงปัจจุบัน ยังดำเนินปฏิบัติการค้นหาผู้รอดชีวิตจนกว่าจะพบกำลังพลทั้งหมด
“ปัจจุบัน กำลังพล 105 นาย ยอดผู้สูญหาย 5 คน เสียชีวิต 24 นาย รอพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล 1 นาย สามารถช่วยให้รอดชีวิต 75 นาย กองทัพเรือได้มีการตั้งคณะทำงานกู้เรือหลวงสุโขทัยแล้ว โดยเบื้องต้นได้มีการให้นักประดาน้ำดำลงไปถ่ายภาพรอบตัวเรือทั้งหมด เพื่อประเมินขั้นตอนการกู้ซากต่อไป โดยการปฏิบัติการจะเป็นการทำร่วมกันระหว่างกองทัพเรือ และบริษัทเอกชน แต่ยังไม่สามารถระบุ วันที่จะสามารถกู้เรือได้ชัดเจน แต่เชื่อว่า การกู้จะเกิดขึ้นโดยเร็วเพราะต้องส่งข้อมูลให้กับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการอับปาง” พล.ร.อ. ปกครอง ระบุ
สำหรับ คณะทำงานกู้เรือหลวงสุโขทัยนั้นจะมี พล.ร.อ. อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานคณะทำงานฯ เรือหลวงสุโขทัย หมายเลขประจำเรือ FSG-442 เป็นเรือคอร์เวตคู่กับเรือหลวงรัตนโกสินทร์ ที่กองทัพเรือจัดหามาจากสหรัฐอเมริกา ขึ้นประจำการเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2530 สังกัดกองเรือฟริเกตที่ 1 กองเรือยุทธการ เป็น 1 ในเรือ 10 ลำ ของกองเรือปราบเรือดำน้ำ
การอับปางครั้งนี้ นับว่าเป็นการอับปางครั้งแรกของเรือรบไทยในรอบ 77 ปี โดยเมื่อปี 2488 เรือรบหลวงสมุยต้องอับปางลงหลังจากถูกยิงจากเรือดำน้ำของสหรัฐอเมริกา เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีกำลังพล 31 นายเสียชีวิต ก่อนหน้านั้น 4 ปี ในสงครามสยาม-ฝรั่งเศส เรือรบไทยถูกเรือรบฝรั่งเศสโจมตี จนอับปาง 2 ลำ และได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง 3 ลำ