เศรษฐาร่วมประชุมสหประชาชาติที่สหรัฐฯ 18-24 ก.ย. นี้
2023.09.18
กรุงเทพฯ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ออกเดินทางไปสหรัฐอเมริกาแล้วในวันจันทร์นี้ เพื่อร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยพร้อมวางตัวเป็นกลาง ไม่เอนเอียงความสัมพันธ์เข้าหาทั้งสหรัฐอเมริกา และจีน
ก่อนเดินทาง นายเศรษฐา ได้กล่าวในเวทีไทยรัฐฟอรั่ม 2023 เมื่อวันอาทิตย์ว่า ประเทศไทยจะพยายามวางตัวเป็นกลางด้านความสัมพันธ์กับมหาอำนาจที่มีความขัดแย้งกันอยู่
“เรามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับมหาอำนาจ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความสัมพันธ์กันมาประมาณ 190 ปี แล้วก็ประเทศจีน เราก็มีเชื้อสายคนจีนที่มาอยู่ที่นี่เยอะ ตัวผมเองก็เป็นคนจีนเหมือนกัน มีการค้ากันอย่างเยอะ แล้วก็เป็นภาคส่วนที่สำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต เราต้องเมนเทนความเป็นกลาง เราต้องไม่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ตรงนี้เป็นจุดยืนที่สำคัญ” นายเศรษฐา กล่าว
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันจันทร์นี้ว่า นายเศรษฐา จะใช้โอกาสการประชุมสหประชาชาติ ในระหว่างวันที่ 18-24 กันยายน 2566 เพื่อสานสัมพันธ์กับนานาชาติ
นายชัย เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีจะพูดคุยทวิภาคีกับตัวแทนจากบางประเทศ 3-4 ประเทศ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ และปฏิเสธที่จะตอบสื่อมวลชนที่ถามว่า จะได้พูดคุยกับตัวแทนประเทศเยอรมันเรื่องการจัดหาเครื่องยนต์เรือดำน้ำ ซึ่งไทยทำสัญญาซื้อจากประเทศจีนหรือไม่
“ท่านนายกฯ ก็หวังว่าจะใช้โอกาสนี้ไปแสดงวิสัยทัศน์ ให้นานาชาติได้มองเห็นภาพพจน์ของประเทศไทยผ่านวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศ” นายชัย กล่าว
นายกรัฐมนตรี ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำในเวลา 16.00 น. ของวันจันทร์พร้อมด้วย นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ, นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และคณะ
ในการเดินทางไปร่วมประชุมครั้งนี้ นายเศรษฐาจะกล่าวถ้อยแถลงในการอภิปรายทั่วไป ที่การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ และกล่าว Welcoming Remarks ในกิจกรรมคู่ขนานระดับสูงของประเทศไทยและอาเซียน ในหัวข้อ “Fostering Partnership for Our Common Future: Enhancing Multi-Stakeholder Partnerships to Accelerate the SDGs in ASEAN” ซึ่งประเทศไทยและคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิกแห่งสหประชาชาติ (UNESCAP) ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ
นายกรัฐมนตรี จะมีการกล่าวในกิจกรรมระดับผู้นำ Climate Ambition Summit และการเข้าร่วมการประชุม High-level Meeting on Global Development Initiative (GDI) Cooperation Outcome และจะมีการหารือกับภาคธุรกิจในสหรัฐอเมริกา และภาคธุรกิจจากประเทศอาเซียน เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐากิจของประเทศไทย
ต่อประเด็นความสัมพันธ์กับ นานาชาติ รศ.ดร. ดุลยภาค ปรีชารัชช รองผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวกับเบนาร์นิวส์ว่า ไทยควรระมัดระวังในการแสดงออกทางความสัมพันธ์กับประเทศใดประเทศหนึ่ง
“เราต้องระมัดระวังในเรื่องของนโยบายต่างประเทศกับนโยบายป้องกันประเทศ เพราะไทยเป็นจุดตัด ทั้งอินโดแปซิฟิก ทั้งสายแถบและเส้นทาง ถนนของจีนมันเลาะเลื้อยเข้ามาที่ไทย แต่ขณะเดียวกันทะเลอันดามัน ของประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรอินเดีย ส่วนอ่าวไทยเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิก” รศ.ดร. ดุลยภาค กล่าว
“ในอาเซียน ไทยควรทำการทูตเชิงรุกมากขึ้น ขยายเขตยุทธศาสตร์มากขึ้น เช่น พูดคุยกับจีนเรื่องลดปัญหายาเสพติดลุ่มน้ำสาละวิน เชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำโขง เพื่อบริหารอำนาจต่อรอง เพราะที่ผ่านมา เราไม่มีแผนวิสัยทัศน์ทางยุทธศาสตร์ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์แบบอินโดนีเซียที่วางตัวเองเป็นศูนย์กลาง ถ้าเราไม่เริ่มทำเกมรุก อนาคตเราอาจก้าวตามประเทศใหญ่ๆในอาเซียนไม่ทันเช่นกัน” รศ.ดร. ดุลยภาค กล่าวเพิ่มเติม
ด้าน ดร. เอียชา การ์ตี นักวิจัยนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เชื่อว่า การเดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติของนายเศรษฐาเป็นโอกาสที่ดีสำหรับไทย
“เป็นการแสดงให้เห็นถึงบทบาทของไทยในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้ง UN และประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญ ประการที่สอง เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง และการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ดร. เอียชา กล่าว
“สัมพันธ์ไทยจีน รัฐบาลใหม่น่าจะยังคงดำเนินไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้าทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย แต่มองอีกมุมรัฐบาลใหม่ก็อาจให้ความสำคัญกับประเด็นสิทธิมนุษยชนมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศได้ ไทยควรหาแนวทางในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งจีนและอเมริกา โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของไทยและความมั่นคงของภูมิภาค เวทีนี้ก็อาจเป็นโอกาสดีที่จะใช้เป็นช่องทางเพื่อร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเพื่อกดดันกองทัพพม่าให้ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน” ดร. เอียชา กล่าวเพิ่มเติม
วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช ในกรุงเทพฯ และคุณวุฒิ บุญฤกษ์ ในเชียงใหม่ ร่วมรายงาน