ฤา “เศรษฐา ทวีสิน” จะเป็นนายกคนต่อไป?
2023.08.18
กรุงเทพฯ
ด้วยความสูงที่ 192 เซนติเมตร เศรษฐา ทวีสิน สูงเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่น ๆ ที่เข้าชิงชัยในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพลเรือนคนแรกของประเทศไทย หลังจากอยู่ภายใต้การบริหารงานที่มีกองทัพหนุนหลังมากกว่า 9 ปี
แม้จะเพิ่งเข้าสู่วงการการเมืองเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว แต่อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ วัย 61 ปี รายนี้ ก็ได้กลายเป็นที่อยู่แถวหน้าในการลุ้นเป็นผู้นำของประเทศไทยที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เศรษฐา ที่มีสไตล์การพูดแบบตรงไปตรงมา ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่นำโดย แพทองธาร ชินวัตร ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และได้กลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของพรรคในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อพรรคเพื่อไทยประกาศจะเสนอชื่อเขาให้เป็นผู้ได้รับเสนอชื่อให้ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 สิงหาคม ที่จะถึงนี้
ในฐานะคนนอกผู้ไม่เคยบริหารงานประเทศ นักธุรกิจที่มีชื่อเล่นว่า “เสี่ยนิด” ไม่ได้ถูกวางตัวโดยพรรคเพื่อไทยให้เป็นตัวเลือกแรกในการเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่แพทองธาร ทายาทของมหาเศรษฐีตระกูลชินวัตร ต่างหาก ที่มักถูกหยิบยกให้เป็นผู้นำในบทบาทนั้นมาโดยตลอด
แต่การที่เศรษฐา ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง รวมไปถึงสถานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคง ทำให้เขามีรากฐานสำหรับตำแหน่งนี้ นักวิชาการไทยที่ทำงานในสถาบัน ISEAS Yusof Ishak Institute ในสิงคโปร์ให้สัมภาษณ์กับเบนาร์นิวส์ เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา
“ผมย้ำอีกครั้ง ศัตรูของผมคือ ความยากจนและความไม่เสมอภาคของประชาชน เป้าหมายของผมคือ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคนครับ” เศรษฐากล่าวในเฟซบุ๊คส่วนตัวในวันศุกร์นี้
“ผมออกมาวันนี้เพื่อให้ข้อเท็จจริง และตอบคำถามของสังคมในกรณีการจัดซื้อที่ดินของแสนสิริและเรื่องนอมินี ในขณะที่ผมเป็นผู้บริหาร ผมยืนยันว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การซื้อขายที่ดินเพื่อประกอบการบริษัท เราดำเนินการด้วยความถูกต้องตามกฎหมายในทุกขั้นตอน” เศรษฐา ชี้แจงถึงข้อกล่าวหาที่มีจากชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าพ่ออ่าง
เศรษฐาถือครองทรัพย์สินประมาณ มูลค่ากว่า 1,300 ล้านบาท และกล้าหาญที่จะเอาประสบการณ์ทางธุรกิจของเขาเบิกทางเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ในเดือนมีนาคม หลังจากที่เศรษฐายื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บมจ.แสนสิริ หนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศไทย และโอนหุ้นให้กับบุตรสาว เขาระบุว่า เขาจะใช้ประสบการณ์ของเขาในการ “ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ”
“ผมต้องการเร่งพัฒนาประเทศไทยให้กลับมายิ่งใหญ่ในสายตาของประคมโลก และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และโอกาส ซึ่งปรากฏมากขึ้นเหลือเกินในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา” นายเศรษฐา ระบุในจดหมายเปิดผนึก
เศรษฐา ทวีสิน (คนกลาง) พูดคุยกับนักข่าวที่พรรคเพื่อไทยในกรุงเทพ ขณะที่ กกต. เริ่มนับคะแนนเสียงเลือกตั้ง วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เอเอฟพี
เรื่องของเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นใจความหลักในสื่อสารทางการเมืองของเขา ขณะเดียวกันเขาก็ได้หลบเลี่ยงประเด็นที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง เช่น กรณีของการแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
นายเศรษฐา เป็นบุตรชายของอดีตนายทหาร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการเงินที่มหาวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาแคลร์มอนต์ (Claremont Graduate University) รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และสมรสกับ พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ ความงาม และมีบุตรด้วยกัน 3 คน
การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขาสามารถ “แสดงให้เห็นวิวัฒนาการของการเมืองไทย” ดร. เอียชา การ์ตี นักวิจัยนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุ
“ด้วยภูมิหลังของเขาในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และไม่ใช่กลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองแบบดั้งเดิม นี่อาจบอกใบ้ถึงความต้องการบริหารประเทศด้วยแนวทางธุรกิจ” เธอกล่าวกับเบนาร์นิวส์
อย่างไรก็ตาม การเดินหน้านโยบายของเขาและการสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของชนชั้นนำและกองทัพจะต้องมีเป็นไปอย่างหลักแหลม ดร. เอียชา กล่าว
“การดำเนินความสัมพันธ์นี้จำเป็นต้องมีความกลมกลืนกันระหว่างความเคารพ การเจรจาต่อรอง และความกล้าแสดงออก นายเศรษฐาซึ่งไม่ได้เป็นคนนอกของวิถีทางการเมืองแบบดั้งเดิม อาจเข้าสู่ความสัมพันธ์นี้ด้วยมุมมองใหม่” เธอระบุ
“อย่างไรก็ตาม เพื่อความมั่นใจในเสถียรภาพและความก้าวหน้า มันมีความสำคัญสำหรับเขาในการหาจุดร่วมและสามารถทำงานโดยมีวัตถุประสงค์ระดับชาติร่วมกัน ขณะเดียวกันก็ต้องมั่นใจในเรื่องจริยธรรมทางการเมืองจะไม่ใช่เรื่องของการยอมความ”
หาเสียงร่วมรัฐบาล
พรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้งได้จำนวน ส.ส. ทั้งหมด 141 จาก 500 ที่นั่ง ในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม เป็นที่สอง รองจากพรรคก้าวไกล พรรคการเมืองขั้วตรงข้ามกับกองทัพที่ได้รับเลือกตั้งไปทั้งหมด 151 ที่นั่ง
จนถึงวันนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า นายเศรษฐา และพรรคเพื่อไทย จะได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอจากสมาชิกรัฐสภาในการโหวตเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 สิงหาคม นี้
พรรคร่วมทั้ง 9 พรรค ที่นำโดยพรรคเพื่อไทยในฐานะเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ขณะนี้รวมเสียงได้ทั้งหมด 238 ที่นั่ง ขณะที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องการอย่างน้อย 375 เสียง จากจำนวนสมาชิกของทั้งสองสภาที่มีรวมกัน 748 ที่นั่งในขณะนี้ (สส. ลาออก 1 คน, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล หยุดปฏิบัติหน้าที่)
ในบรรดาพรรคร่วมที่ประกอบไปด้วย พรรคภูมิใจไทย ที่มี 71 เสียง และบรรดาพรรคเล็กอีก 7 พรรค ทำให้เพื่อไทยสามารถรีบสลัดพรรคก้าวไกล พรรคที่ได้รับเลือกตั้งชนะเป็นอันดับหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ภายหลังที่วุฒิสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งจากทหารพยายามขัดขวางการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถึงสองครั้ง
เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ผ่านมา พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เคยเสนอชื่อ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะจับมือร่วมกับพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลผสม
พล.อ. ประยุทธ์ ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2557 ได้ลาออกจากพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว หลังจากผลคะแนนจากการเลือกตั้งไม่เป็นไปอย่างที่หวังไว้
จนถึงวันนี้ พรรคเพื่อไทย ยังไม่ได้มีการแถลงยืนยันความร่วมมือเป็นพันธมิตรทางการเมืองดังกล่าว แต่การทำเช่นนี้อาจเปิดให้พรรคอยู่ในสถานะที่ประนีประนอมได้ ขณะที่ผู้สนับสนุนพรรคหลายคนเอือมระอากับการที่กองทัพยังมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง
เศรษฐา เคยวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ได้ รวมถึงเคยแสดงความเห็นส่วนตัวว่าจะไม่ขอร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ที่นำโดย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ล่าสุดนำมาซึ่งคำถามที่ต้องการคำตอบเกี่ยวกับความจริงใจของเขา
แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร และเศรษฐา ทวีสิน (สวมสูท) ซึ่งเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคทั้งคู่ หาเสียงก่อนการเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 (รอยเตอร์)
การได้รับคะแนนเสียงจากรัฐสภาอาจจะไม่ใช่ความท้าทายเดียวที่นายเศรษฐาต้องเผชิญ
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าพ่ออ่าง ที่ผันตัวมาเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้กล่าวหาเศรษฐาว่าทำธุรกิจไม่ตรงไปตรงมา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใน บมจ.แสนสิริ และเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการทำธุรกิจของเขา
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ชูวิทย์ ได้ยื่นเอกสารพร้อมทั้งหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ กล่าวหาเศรษฐาว่ามีการทำธุรกรรมที่เข้าข่ายการหลีกเลี่ยงภาษี และใช้นอมินีเพื่อยักยอกเงินจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับปากว่าจะช่วยดำเนินการสอบปากคำผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นนอมินี ซึ่งเป็นแม่บ้านและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ขณะที่คณะกรรมาธิการของวุฒิสภาก็อยู่ระหว่างตรวจสอบคุณสมบัติของนายเศรษฐา กรณีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการเลี่ยงภาษีซื้อขายที่ดินเช่นกัน
แต่เศรษฐาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และยืนยันฟ้องชูวิทย์ข้อหาหมิ่นประมาท
“ผมยืนยันว่าตลอดเวลา 30 ปี ที่ผมอยู่แสนสิริมา ผมได้ยึดมั่นทำทุกอย่างตามกฎหมายทุกประการ” เขาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่สำนักงานใหญ่พรรคเพื่อไทยเมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์
“ตอนที่ผมเดินเข้ามาสู่เวทีการเมืองเมื่อเดือนมีนาคม มีหลายคนเตือนผมว่าจะเจอเรื่องหลายเรื่อง แต่ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องเลอะเทอะ และบิดเบือนความจริงมากขนาดนี้”
คุณวุฒิ บุญฤกษ์ ร่วมรายงาน