หรือหนังสือคือของฟุ่มเฟือย เมื่อเด็กต่างจังหวัดยังห่างไกลหนังสือ

ชนบทของไทยกว่า 70% ประสบปัญหาด้านการรู้หนังสือ "ขั้นพื้นฐาน" ตามรายงานล่าสุดของธนาคารโลก
วิทยากร บุญเรือง
2024.12.18
กรุงเทพฯ
หรือหนังสือคือของฟุ่มเฟือย เมื่อเด็กต่างจังหวัดยังห่างไกลหนังสือ วงศ์เดือน ศรีมารัตน์ ครูประจำศูนย์การศึกษาบนพื้นที่สูง ในจังหวัดเชียงใหม่ เล่านิทานให้นักเรียนฟังในช่วงเช้า ที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2567
วิทยากร บุญเรือง/เบนาร์นิวส์

แม้การอ่านเป็นรากฐานที่สำคัญของการเรียนรู้ แต่เด็กต่างจังหวัดจำนวนมาก ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงหนังสือ ส่วนหนึ่งอาจเพราะพ่อแม่ไม่นิยมซื้อหนังสือเข้าบ้าน และไม่น้อยทีเดียวที่ผู้ปกครองไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน

วงศ์เดือน ศรีมารัตน์ ครูศูนย์การศึกษาบนพื้นที่สูงแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ อายุ 32 ปี สังเกตว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่เธอสอนหนังสือให้กับเด็กชาวไทยภูเขา ผู้ปกครองไม่นิยมซื้อหนังสืออ่านนอกเวลาให้กับลูก

“ตั้งแต่สอนหนังสือบนดอยมาหลายปี ยังไม่เคยเห็นพ่อแม่ลงไปซื้อหนังสือ หรือสั่งหนังสือขึ้นมาให้ลูก แต่ขนมหรือของเล่น พวกเขากลับซื้อได้เป็นเรื่องปกติ” วงศ์เดือน กล่าวกับเบนาร์นิวส์

ความยากจนอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ปกครองตัดสินใจเช่นนี้ แต่วงศ์เดือนเห็นว่านั่นไม่ใช่ปัจจัยเดียว เพราะผู้ปกครองมีกำลังซื้อสิ่งต่าง ๆ เพียงแค่หลายครอบครัวไม่ได้มีวัฒนธรรมการอ่าน และหนังสือก็ไม่ใช่ตัวเลือกแรก ๆ ในการจับจ่าย

ขณะเดียวกัน แม้ศูนย์การศึกษาฯ จะพยายามจัดหาหนังสือมาให้เด็ก ๆ ได้ยืมอ่าน ทั้งนิทานภาพและหนังสือสำหรับเด็ก แต่นโยบายส่งเสริมการอ่านนี้กลับไม่ได้รับการตอบรับจากผู้ปกครองมากนัก

"คนบนดอยมีวิถีชีวิตที่ไม่เอื้อต่อการอ่านหนังสือ พ่อแม่ต้องทำงานหนักในไร่สวน กว่าจะกลับบ้านก็ค่ำมืด บางพื้นที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ การอ่านหนังสือที่บ้านจึงเป็นเรื่องลำบาก" วงศ์เดือน กล่าว

ความเหลื่อมล้ำ 'กรุงเทพฯ-ต่างจังหวัด'

ธนาคารโลกระบุในรายงานที่เผยแพร่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาการรู้หนังสือที่รุนแรงในพื้นที่ชนบท โดยการศึกษาพบว่า 70.3% ของเยาวชนและผู้ใหญ่ในพื้นที่ชนบทมีระดับการรู้หนังสือขั้นพื้นฐานต่ำกว่าเกณฑ์ เมื่อเทียบกับ 58% ของผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง

ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ (National Statistical Office) และ UNICEF ระบุว่า ปี 2562 มีครอบครัวยากจนเพียง 14% เท่านั้นที่ในบ้านมีหนังสือตั้งแต่ 3 เล่มขึ้นไป

TH-children-literacy-3.JPG
เด็กในกรุงเทพฯ ขณะเลือกซื้อตำราเรียนเพื่ออ่านเพิ่มเติม ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ วันที่ 20 ตุลาคม 2567 (สุภัทตรา โพล้งกล่ำ-ไทยนิวส์พิกซ์/เบนาร์นิวส์)

เช่นเดียวกับข้อมูลจากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ปี 2565 พบว่าสัดส่วนของเด็กที่มีหนังสือสำหรับอ่านที่บ้านอย่างน้อย 3 เล่ม ในกรุงเทพฯ มีถึง 63.5% แต่ในภาคกลางมีเพียง 43.1%, ภาคเหนือ 38%, ภาคใต้ 35.9% และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีน้อยที่สุดที่ 33.9%

นอกจากนี้ข้อมูลจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ระบุว่าในปี 2566 มีเด็กไทยอยู่ในครัวเรือนยากจนพิเศษถึง 2.8 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในต่างจังหวัด โดยรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือนยากจนพิเศษมีเพียง 1,039 บาท หรือ 34 บาทต่อวัน ซึ่งแน่นอนว่าด้วยรายได้ต่ำขนาดนี้ครอบครัวย่อมไม่สามารถซื้อหนังสือให้เด็ก ๆ ได้

ภาพความเหลื่อมล้ำยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่องานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 29 (Book Expo Thailand 2024) ที่จัดในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้เข้างานกว่า 1.4 ล้านคน และทำยอดขายได้กว่า 438 ล้านบาท 

ทั้งนี้ ยอดขายดังกล่าวสามารถแบ่งเป็น การ์ตูน 40% นิยาย 30% จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง 20% และอื่น ๆ 10% ที่น่าสนใจคือ ผู้ร่วมงาน 69% เป็นคนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 13-35 ปี 

วีรวรรธน์ สมนึก เจ้าของร้านหนังสืออับดุลบุ๊ค ในจังหวัดขอนแก่น บอกว่า ตั้งแต่เปิดร้านมาร่วม 4 ปี กลับไม่ค่อยเจอผู้ปกครองมาซื้อหนังสือให้ลูกอ่าน

"ถ้าจะพูดจริง ๆ คือมีการซื้อหนังสือให้เด็กน้อยมาก ๆ และนาน ๆ ครั้ง จะเกิดขึ้นตามกระแสนิยมที่พัดเข้ามาให้แวดวงหนังสือ" วีรวรรธน์ กล่าวกับเบนาร์นิวส์

วีรวรรธน์ มองว่า สำหรับผู้ปกครองในต่างจังหวัด หนังสือเป็นสินค้าลำดับรอง ซึ่งถูกให้ความสำคัญน้อยกว่าอาหาร เสื้อผ้า และค่าเทอม 

ในสถานการณ์ที่ค่าครองชีพสูงขึ้น การตัดสินใจซื้อหนังสือสักเล่มจึงกลายเป็นเรื่องยาก เพราะแม้แต่ผู้ใหญ่เองก็ใช้เวลาตัดสินใจซื้อหนังสือมากขึ้น ทำให้ครอบครัวที่จะลงทุนซื้อหนังสือให้ลูกได้ จึงต้องมีฐานะที่มั่นคงพอจนสามารถจัดการค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ ได้เสียก่อน

"การที่พ่อแม่ไม่ใช่นักอ่าน ไม่คุ้นเคยกับหนังสือนอกเวลา ทำให้ไม่รู้ว่าจะแนะนำอะไรให้ลูกอ่าน นอกจากหนังสือเรียน หรือนิทานอีสปที่ตัวเองเคยอ่านตั้งแต่เด็ก ยิ่งยุคโซเชียลที่สามารถเปิดดูเรื่องต่าง ๆ ที่ไหนก็ได้ นิทานหรือแม้แต่หนังสือภาพจึงถูกลดบทบาทลงอย่างชัดเจน" วีรวรรธน์ กล่าว

TH-children-literacy-7.JPG
ประชาชนในกรุงเทพฯ ให้ความสนใจเข้าชมและเลือกซื้อหนังสือภายในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ วันที่ 20 ตุลาคม 2567 (สุภัทตรา โพล้งกล่ำ-ไทยนิวส์พิกซ์/เบนาร์นิวส์)

การกระจายตัวของร้านหนังสือก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเข้าถึงหนังสือได้น้อย สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (The Publishers and Booksellers Association of Thailand - PUBAT) ระบุว่า ในปี 2565 ทั่วประเทศมีร้านหนังสือเพียง 800 ร้าน จากที่ในอดีตเคยมีถึง 2,483 ร้าน และแน่นอนว่าร้านหนังสือจำนวนมากกระจุกตัวอยู่เพียงกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ ๆ

กีรติ บุญประดิษฐ์ พนักงานร้านค้า อายุ 34 ปี ชาวอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีลูกวัย 5 ขวบ ระบุว่า เธอไม่รู้จะไปซื้อหนังสือให้ลูกเธอได้จากที่ไหน

"ที่ดอยสะเก็ด แม้แต่แผงขายหนังสือพิมพ์ก็หายากแล้ว ร้านหนังสือไม่มีเลย" กีรติ กล่าวกับเบนาร์นิวส์

นอกจากนี้ กีรติยังสังเกตว่า ลูกของเธอสนใจคลิปการ์ตูน หรือเนื้อหาสำหรับเด็กบนยูทูบมากกว่า ดังนั้น การซื้อแท็บเล็ตจึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าสำหรับครอบครัวที่มีงบประมาณจำกัด

"สมมุติถ้าซื้อหนังสือให้ลูก ราคาหลายร้อยบาทต่อเล่ม พออ่านจบก็ต้องซื้อเล่มใหม่ แต่แท็บเล็ตซื้อครั้งเดียว เด็กสามารถดูคลิปได้เป็นร้อยเป็นพัน ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ นอกจากมีตัวเลือกเยอะกว่าแล้ว เด็กก็ยังสนใจมากกว่าด้วย" กีรติ กล่าว

หนังสือในไทยแพงเกินไป

อุตสาหกรรมหนังสือถือเป็นธุรกิจที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ระบุว่า ปี 2566 ตลาดหนังสือไทยมีมูลค่าถึง 17,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หนังสือที่ขายในประเทศไทยกลับมีราคาสูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ โดยหนังสือหนึ่งเล่มมีราคาเฉลี่ย 200 บาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำตกประมาณ 300-400 บาทต่อวัน การซื้อหนังสือหนึ่งเล่มจึงเป็นภาระสำหรับครอบครัวที่มีรายได้ไม่มาก

ปิญณ์ชาน์ เหล็กเพชร เจ้าของสำนักพิมพ์เรียงรัน ผู้พิมพ์หนังสือสำหรับเด็ก ระบุว่า ปัจจุบัน ต้นทุนการผลิตหนังสือในไทยค่อนข้างสูง โดยเฉพาะหนังสือเด็ก 

"หนังสือเด็กมีองค์ประกอบพิเศษหลายอย่าง ทั้งค่าลิขสิทธิ์เนื้อเรื่อง และภาพประกอบ การพิมพ์ก็ต้องเป็น 4 สีทั้งเล่ม กระดาษก็ต้องคุณภาพดีทนต่อการใช้งานของเด็ก ๆ ซึ่งเด็ก ๆ มักจะประเมินแรงตัวเองไม่ถูก หนังสือเด็กเลยต้องแข็งแรงกว่าหนังสือผู้ใหญ่ ทำให้ต้นทุนสูงไปด้วย” ปิญณ์ชาน์ กล่าวกับเบนาร์นิวส์

ขณะเดียวกัน ปิญณ์ชาน์ ชี้ว่า ยอดพิมพ์ต่อครั้งที่ต่ำทำให้ต้นทุนการพิมพ์สูง โดยตลาดหนังสือไทยมียอดพิมพ์ต่อครั้งเฉลี่ย 1,500-3,000 เล่ม ขณะที่ค่าจัดจำหน่ายของสายส่งสูงถึง 40-45% ของราคาปก ทำให้สำนักพิมพ์ไม่สามารถตั้งราคาหนังสือให้ถูกได้ 

TH-children-literacy-5.JPG
ประชาชนในกรุงเทพฯ ให้ความสนใจเข้าชมและเลือกซื้อหนังสือภายในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ วันที่ 20 ตุลาคม 2567 (สุภัทตรา โพล้งกล่ำ-ไทยนิวส์พิกซ์/เบนาร์นิวส์)

รัฐต้องช่วยสร้าง ‘วัฒนธรรมการอ่าน’

เมื่อปี 2566 รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ระบุให้ การส่งเสริมการอ่าน เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านการศึกษา 

ขณะที่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็เคยระบุว่า “หนังสือถือเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานหลากหลายรูปแบบ” และพร้อมที่จะผลักดัน อย่างไรก็ตาม ถึงปัจจุบัน กลับไม่เห็นรัฐบาลเดินหน้าเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม

เจ้าของร้านอับดุลบุ๊ค ชี้ว่า ถ้ารัฐบาลเห็นว่า วัฒนธรรมการอ่านจะสร้างสังคมได้ รัฐบาลต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงด้วยการทำให้คนสามารถเข้าถึงหนังสือให้ได้มากที่สุด ทำให้คนได้สัมผัสหนังสือเล่มมากที่สุด และทำให้คนตระหนักรู้ว่าหนังสือมีความจำเป็นต่อการสร้างทรัพยากรบุคคลมากที่สุด

"ถ้าทำห้องสมุดทั้งห้องสมุดประชาชน และห้องสมุดของโรงเรียนให้ดี จัดสรรคัดเลือกหนังสือใหม่ ๆ ที่มีประโยชน์ ทำโครงสร้างพื้นฐานให้เอื้อต่อการใช้สอยจะเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับคนอ่านหนังสือ ทำให้คนอยากเข้ามาใช้พื้นที่" วีรวรรธน์ กล่าว และมองว่าถ้ารัฐบาลทำได้เช่นนั้นจริง วัฒนธรรมการอ่านในไทยก็จะค่อย ๆ เติบโตขึ้น

“เมื่อวัฒนธรรมขยายตัว ทำไมคนจะไม่อยากซื้อหนังสือ ถ้าผู้ปกครองไม่ซื้อให้ เด็กก็น่าจะเป็นคนเรียกร้องเอง” วีรวรรธน์ กล่าว

ในมุมเจ้าของสำนักพิมพ์อย่างปิญณ์ชาน์ ซึ่งมีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศ และซื้อลิขสิทธิ์จากสำนักพิมพ์ทั่วโลก มองว่า รัฐบาลต้องสร้างวัฒนธรรมการอ่านควบคู่ไปกับการพัฒนาอุตสาหกรรมหนังสือ

"ในญี่ปุ่น ฟินแลนด์ หรือเกาหลีใต้ มีระบบส่งเสริมการอ่านที่เข้มแข็งมาก ซึ่งรัฐบาลไทยควรสนับสนุนอีเวนต์การอ่าน ที่มากกว่าแค่งานสัปดาห์หนังสือ ที่ทุกคนต้องเดินทางไปเพื่อซื้ออย่างเดียว เพราะที่ผ่านมา หนังสือไม่เคยเดินทางไปหาเด็กในโรงเรียน ห้างสรรพสินค้า หรือสวนสาธารณะใกล้บ้าน รัฐบาลควรยกหนังสือไปให้อ่านฟรี ๆ และมีกิจกรรมร่วมกัน" ปิญณ์ชาน์ กล่าว

ขณะที่ กีรติในฐานะแม่ของลูกวัย 5 ขวบ เห็นว่า การจัดหาหนังสืออ่านนอกเวลาควรเป็นหน้าที่ของโรงเรียน เพราะพ่อแม่เองไม่สามารถทราบได้ว่า หนังสือประเภทใดที่เหมาะสมกับวัยของลูก 

อีกทั้งนโยบายเรียนฟรีควรครอบคลุมทั้งค่าใช้จ่ายสำหรับหนังสือเรียน และหนังสืออ่านนอกเวลา เพราะจะช่วยลดภาระให้กับครอบครัวที่มีรายได้ไม่มากนัก

"ถ้ารัฐบาลบอกว่าจะส่งเสริมการอ่าน รัฐบาลก็ควรแจกหนังสือนอกเวลาให้เด็กได้อ่านฟรี ๆ เพราะขนาดเงินรัฐบาลก็ยังแจกได้" กีรติ กล่าว

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง