สภาผ่าน พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม วาระสาม
2024.03.27
กรุงเทพฯ
สภาผู้แทนราษฎร (สส.) มีมติผ่านร่าง พ.ร.บ. แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) หรือ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม วาระที่สาม ซึ่งจะทำให้คนทุกเพศสามารถสมรสกันได้ และมีกฎหมายรองรับ ด้านนักสิทธิฯ หวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะจุดประกายให้กับประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย
นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานฯ สรุปผลการลงมติ จำนวนผู้ลงมติ 415 คน เห็นชอบ 400 คน งดออกเสียง 2 คน และไม่ลงคะแนน 3 คน หลังจากนี้ กฎหมายจะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งหากผ่านความเห็นชอบจะทูลเกล้าฯให้ในหลวงลงพระปรมาภิไธย เพื่อประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาตราเป็นกฎหมายต่อไป
“กฎหมายฉบับนี้ชายหญิงทั่วไปท่านเคยได้รับสิทธิอย่างไร ท่านจะไม่เสียสิทธิแม้แต่น้อย สิทธิของท่านในทางกฎหมายยังเท่าเดิมทุกประการ และในทางเดียวกัน กฎหมายฉบับนี้จะคุ้มครองคนกลุ่มหนึ่งซึ่งแล้วแต่จะเรียกว่าเป็น LGBT ผู้ชายข้ามเพศ ผู้หญิงข้ามเพศอะไรตาม” นายดนุพร ปุณณกันต์ ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ แถลงต่อที่ประชุม ก่อนลงมติวาระที่สองและสาม
“วันนี้ทุกสังคมเชื่อว่าทุกคนทราบดีว่าเราไม่ได้มีแค่เพศชาย เพศหญิงอีกต่อไปแล้ว เราเลือกที่จะคืนสิทธิให้คนกลุ่มนี้ เป็นสิทธิเบื้องต้น การรักษาพยาบาล การลดหย่อนภาษีต่าง ๆ รวมถึงการเซ็นยินยอมให้เข้าสู่การรักษาพยาบาล กฎหมายฉบับนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความเท่าเทียม” นายดนุพร กล่าว
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 สภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบผ่าน ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม 4 ร่างของรัฐบาล, พรรคก้าวไกล, พรรคประชาธิปัตย์ และประชาชน ทำให้มีการตั้ง กมธ. วิสามัญพิจารณากฎหมาย และนำมาสู่การลงมติในวาระที่สองและสามในสัปดาห์นี้
ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม 68 มาตรา มีจุดสำคัญโดยสรุปคือ แก้ไขให้ “บุคคลสองคน (ทุกเพศ)” สมรสกันได้ จากแต่เดิมระบุว่า ผู้ที่จะสมรสต้องเป็น “ชาย-หญิง” เท่านั้น ซึ่งจะทำให้ “คู่สมรส (ทุกเพศ)” สามารถจัดการทรัพย์สิน และรับบุตรบุญธรรมได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
“ผลการสำรวจความคิดเห็นสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนร้อยละ 96.6 เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว ประโยชน์ของร่างพระราชบัญญัติเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ และนโยบายของรัฐบาลในการเคารพและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนโดยการปรับปรุงกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เพื่อเป็นหลักประกันว่า บุคคลทุกคนจะได้รับสิทธิในการจัดตั้งข้อมูลอย่างเสมอภาคเท่าเทียมและไม่เลือกปฏิบัติ” นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี กล่าวนำเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาวาระแรก
แม้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) ในประเทศไทยจะมีบทบาทมากในสังคม และได้รับการยอมรับอย่างมาก จนในสายตาชาวต่างชาติก็เชื่อว่า ไทยเปิดกว้างสำหรับความหลากหลายทางเพศ แต่ในทางกฎหมายไทยกลับยังไม่ได้รับรองสถานะให้กับผู้มีความหลากหลายทางเพศ
ในปี 2565 พรรคก้าวไกลเคยเสนอ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเข้าสู่สภา ขณะเดียวกัน รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เสนอ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต เข้าสู่การพิจารณาเช่นกัน ซึ่งแม้กฎหมายจะมีความคล้ายกัน แต่ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต ให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศจดทะเบียนกันได้ แต่จะมีสถานะเป็น “คู่ชีวิต” ซึ่งด้อยสิทธิทางกฎหมายกว่า “คู่สมรส”
“หากมีเรื่องที่ผิดพลาดรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต เราไปร้องเรียนในฐานะภรรยาหรือคู่ชีวิตไม่ได้ เพราะเราไม่มีสิทธิเหมือนสามีภรรยาทั่วไป แค่คิดก็เจ็บปวดแล้ว การใช้ชีวิตของมนุษย์คู่หนึ่งบนโลกใบนี้ ทุกเพศควรมีสิทธิได้รับสวัสดิการหรือการรับรองทางกฎหมายเหมือนคนทั่วไป” ปกชกร วงศ์สุภาร์ LGBT อายุ 67 ปี กล่าวกับเบนาร์นิวส์
กระทั่ง 15 มิถุนายน 2565 ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมของก้าวไกล ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรวาระแรก แต่เมื่อพล.อ. ประยุทธ์ ประกาศยุบสภา ขณะที่กฎหมายยังพิจารณาไม่สำเร็จ ทำให้กฎหมายยังไม่เคยถูกบังคับใช้จริง กระทั่งมีการเสนออีกครั้งในรัฐบาลปัจจุบัน
ต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ น.ส. มุกดาภา ยั่งยืนภราดร เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชน ฟอร์ตี้ฟายไรต์ กล่าวกับเบนาร์นิวส์ว่า อยากให้กฎหมายของไทยเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศอื่นในเอเชีย แม้กฎหมายอาจจะยังมีข้อน่าท้วงติงเรื่องรายละเอียดบางจุดก็ตาม
“หวังว่าการเปลี่ยนแปลงในไทยจะจุดประกายให้กับประเทศอื่นในเอเชีย แม้ว่าตัวกฎหมายนี้จะไม่ได้สมบูรณ์ 100% แต่ถ้ามองในมุมมองขององค์กรสิทธิระหว่างประเทศ นี่เป็นการทำให้กฎหมายในไทยสอดคล้องกับมาตรฐานสากลมากขึ้น และเรื่องของอายุขั้นต่ำในการสมรสมันก็เป็นไปเพื่อสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก” น.ส. มุกดาภา กล่าว
สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ปี 2544 กระทรวงมหาดไทยเคยมีแนวคิดที่จะผลักดันแก้ไขกฎหมายการสมรส แต่เนื่องจากเกิดกระแสต่อต้านในสังคมจึงทำให้แนวคิดดังกล่าวตกไป
ในปี 2555 สมัยรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการเสนอ ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต เข้าสู่การพิจารณา แม้ร่างกฎหมายดังกล่าวจะยังไม่ได้ให้สิทธิการสมรสสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ
แต่เมื่อเกิดรัฐประหาร ปี 2557 การพิจารณากฎหมายดังกล่าวจึงตกไป อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การยอมรับผู้มีความหลากหลายทางเพศมีมากขึ้นในสังคมไทย และการเคลื่อนไหวของกลุ่ม LGBTQ ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมถูกนำเสนอเข้าสู่สภาพร้อมแรงสนับสนุน ทำให้สามารถผ่านความเห็นชอบในวาระแรกสำเร็จ
ปัจจุบันมีประเทศที่รับรองสิทธิการสมรสของคนหลากหลายทางเพศ 31 ประเทศ หากประเทศไทยสามารถบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมสำเร็จ จะทำให้ไทยกลายเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่อนุญาตให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศแต่งงานกันอย่างถูกกฎหมาย และเป็นประเทศที่สามในเอเชียถัดจากไต้หวัน และเนปาล
วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช และรุจน์ ชื่นบาน ในกรุงเทพฯ ร่วมรายงาน