ค้นพบหนูผีจิ๋ว เม่นแคระแวมไพร์ไร้หนาม และสัตว์สายพันธุ์ใหม่ ในลุ่มน้ำโขง
2024.12.16

“หนูผีจิ๋ว” (shrew mole) น้ำหนัก 8 กรัม เป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก และเม่นแคระแวมไพร์ไร้หนาม (fanged furry hedgehog) เป็นสัตว์สองสายพันธุ์ในบรรดาสัตว์และพันธุ์พืชอีกกว่า 200 ชนิด ที่ถูกค้นพบใหม่ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นักวิจัยให้ข้อมูลว่า การสำรวจนี้เกิดขึ้นครอบคลุมพื้นที่ในประเทศเวียดนาม เมียนมา กัมพูชา ลาว และไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของบรรดาพืชพันธุ์และสัตว์เฉพาะถิ่นในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และความสำคัญที่จะต้องอนุรักษ์พันธุ์พืชและสัตว์เหล่านี้ ท่ามกลางสถานการณ์การค้าสัตว์ป่า และโลกที่กำลังรุดหน้าพัฒนาอย่างไร้ขอบเขตผ่านการเกษตรเชิงอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวระดับมวลชน หรือการสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ
ความสำเร็จของการจำแนกพันธุ์พืชและสัตว์บางส่วนตามหลักวิทยาศาสตร์เป็นผลมาจากงานวิจัยภาคสนามในพื้นที่ห่างไกล บวกกับการวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นข้อมูลทางพันธุกรรมด้วยเช่นกัน เนื่องจากกลุ่มนักวิจัยสามารถระบุหนึ่งในสายพันธุ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้สำเร็จ หลังจากที่จมฝุ่นอยู่ในพิพิธภัณฑ์มานานกว่าหลายทศวรรษ
ข้อมูลจากการสำรวจลุ่มแม่น้ำโขง โดยองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wide Fund for Nature – WWF) ซึ่งค้นพบสายพันธุ์มหัศจรรย์ทั้ง 234 สายพันธุ์ระบุว่า ลุ่มแม่น้ำโขงซึ่งเป็นแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นแหล่งศึกษาที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ และเป็นศูนย์รวมระดับโลกด้านความหลากหลายของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิต
“แต่การค้นพบนี้ก็ยังเตือนสติเราได้เป็นอย่างดีว่า เราจะสูญเสียอะไรไปบ้างหากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ยั่งยืน ยังคงบ่อนทำลายคุณค่าของธรรมชาติอย่างไม่หยุดยั้ง” แถลงการณ์ระบุ
“สายพันธุ์พืชและสัตว์มากมายมีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ไปก่อนที่พวกมันจะถูกค้นพบเสียอีก เหตุเพราะโดนรุกล้ำถิ่นที่อยู่ โรคภัยที่เกิดจากกิจกรรมแห่งการพัฒนาของมนุษย์ การแก่งแย่งในการดำรงชีวิตกับสายพันธุ์ต่างถิ่น รวมไปถึงการค้าสัตว์ป่าซึ่งถือเป็นภัยคุกคาม”

กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การค้นพบสัตว์และพืชสายพันธุ์ใหม่อาจเป็นกุญแจสำคัญของการค้นพบตัวยาที่สามารถช่วยชีวิตมนุษย์ รวมไปถึงการค้นพบด้านการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรม ซึ่งสามารถช่วยปรับสมดุลให้กับภาวะโลกรวนได้มากขึ้น
สายพันธุ์พืชที่ถูกค้นพบนั้นรวมไปถึงต้นเฟิร์นที่เติบโตใต้น้ำและกล้วยไม้เลื้อยไร้ใบ (delicate leafless orchid) ที่พบได้ในบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งในแถบเวียดนามเหนือเท่านั้น

นักวิทยาศาสตร์สำรวจเจอหนูผีจิ๋ว (diminutive shrew mole) ซึ่งมีขนาดตัวยาวเพียง 14 ซม. (5.5 นิ้ว) หางยาว 6 ซม. ที่ระดับความสูงเกือบ 3,000 เมตร (9,840 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเลบนยอดเขาฟานซีปันทางตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม โดยองค์การ WWF ให้ข้อมูลว่า หนูผีจิ๋วนี้เป็นสมาชิกของสัตว์ตระกูลตุ่น แต่มีลักษณะคล้ายหนูผีเห็นได้จากจมูกยาว หางเรียว และเท้าหน้าขนาดเล็ก ด้วยความที่มันมีน้ำหนักเพียงแค่ 8 กรัม (0.3 ออนซ์) จึงทำให้หนูผีจิ๋วติดอันดับหนึ่งในสิบของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่หากินบนบกที่ตัวเล็กที่สุดในโลก
บรรดานักวิจัยอ้างว่า หนูผีจิ๋วประจำยอดเขาฟานซีปัง มีลักษณะภายนอกที่คล้ายคลึงกับหนูผีจิ๋วที่พบได้ในแถบเทือกเขาหิมาลัยทางตอนใต้ แต่มีความแตกต่างทางพันธุกรรมที่ชัดเจนและมีโครงสร้างของกระดูกที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้รายงานขององค์การ WWF ยังระบุอีกว่า การที่พวกมันอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวบริเวณ “กลุ่มยอดเขาที่สูงเสียดฟ้า” น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้มีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างจากหนูผีสายพันธุ์อื่น ๆ
‘สัตว์หลากสายพันธุ์อีกมากมาย’ อาจถูกค้นพบ
ท่ามกลางกลุ่มเทือกเขาในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศลาว ค้นพบ กบต้นไม้สีเขียวสว่าง (grass-green tree frog) สายพันธุ์ใหม่ ระบุตัวตนจากการวิเคราะห์คลื่นเสียงในการเรียกหาคู่
นักวิจัยที่เป็นผู้ตั้งชื่อ หยกภูเขาครึ่งบกครึ่งน้ำสายพันธุ์ใหม่นี้ ชี้ว่า “เสียงโฆษณาหาคู่” ของกบตัวผู้จะเริ่มด้วยเสียงคลิก ต่อด้วยตัวโน้ตอีกหนึ่งชุด ซึ่งโน้ตแต่ละตัวจะมีความยาว 0.28 วินาที และการค้นพบนี้มีหลักฐานสนับสนุนจากการวิจัยทางสัณฐานวิทยาและโมเลกุล
“ดูเหมือนว่าจะมีสายพันธุ์ที่ระบุชื่อไม่ได้อีกมากมายในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะกลุ่มเทือกเขาของประเทศลาวตอนเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งชุมนุมอันหลากหลายของสายพันธุ์สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ซึ่งมีอัตราของสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นสูง แต่กลับเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกสำรวจน้อยที่สุดในเอเชีย” กลุ่มนักวิจัยกล่าว

หนูผีป่าแวมไพร์ไม่ทราบชื่อ ซึ่งนับเป็นสัตว์ขนฟูในตระกูลเม่น มีถิ่นที่อยู่ในประเทศเวียดนามมาจนถึงปัจจุบัน จากหลักฐานการค้นพบส่วนหนึ่ง จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติ สมิธโซเนียน (National Museum of Natural History) ในกรุงวอชิงตันดีซี ที่อยู่ไกลราว 13,358 กิโลเมตร (8,300 ไมล์)
อาร์โล ฮิงค์ลี โบนด์ (Arlo Hinckley Boned) ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในแถบเอเชียตะวันออกเขตร้อนของพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียนกล่าวว่า ตัวอย่างของสายพันธุ์ ma cà rồng ซึ่งในภาษาเวียดนามแปลว่า ‘แวมไพร์’ ถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน ในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1960 เพื่อ “มุ่งเน้นความสำคัญการค้นหาสายพันธุ์ใหม่ ๆ จากคลังตัวอย่าง”
พวกมันจะถูกศึกษาเปรียบเทียบในเชิงพันธุกรรมกับกลุ่มตัวอย่างต่าง ๆ ที่มีอายุยาวนานกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเหล่านั้นถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ใน 6 ประเทศ ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1930

โบนด์อธิบายว่า การที่โลกค้นพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ใช้เวลาเป็นหลายล้านปีในการวิวัฒนาการนั้น เปรียบเสมือนการค้นพบภาพวาดภาพใหม่ของจิตรกรปิกัสโซ หรือไม่ก็แหล่งโบราณคดีล้ำค่าแหล่งใหม่
นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียและเวียดนามตั้งข้อสงสัยพร้อมกันโดยบังเอิญว่า กลุ่มตัวอย่างของ macarong ที่พวกเขาพบเจอทางตอนใต้ของประเทศเวียดนามในปี 2552 นั้นคือสายพันธุ์ใหม่
“เราค้นพบสายพันธุ์ใหม่ในประเทศเวียดนามเกิน 10 ปีมาแล้ว แต่เราใช้เวลานานเกินไปในการอธิบายและทำงานช้าเกินไป” อเล็กซี อบรามอฟ (Alexei Abramov) จากสถาบันที่ศึกษาด้านสวนสัตว์แห่งสำนักวิทยาศาสตร์แห่งรัสเซีย (the Zoological Institute of Russian Academy of Sciences) ยอมรับ
องค์การ WWF ระบุว่า ได้ค้นพบและรับรองพันธุ์พืช 173 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 26 ชนิด สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 17 ชนิด ปลา 15 ชนิด และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 3 ชนิด ซึ่งส่งผลให้จำนวนสายพันธุ์ทั้งหมดที่ค้นพบในลุ่มแม่น้ำโขงตั้งแต่ปลายคริสตทศวรรษ 1990 เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 3,600 สายพันธุ์

“ถึงแม้ว่าสายพันธุ์เหล่านี้จะได้รับการอธิบายผ่านหลักการทางวิทยาศาสตร์เมื่อปีที่แล้ว แต่พวกมันดำรงชีวิตอยู่ในถิ่นที่อยู่ที่มีลักษณะพิเศษในภูมิภาคของเรามากว่าหลายพันปี” คริส ฮัลลัม (Chris Hallam) ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่าประจำองค์กร WWF เอเชียแปซิฟิก กล่าว
“สิ่งมีชีวิตแต่ละสายพันธุ์เป็นหลักฐานแสนสำคัญในการยืนยันถึงระบบนิเวศที่ทำงานได้ดีและแข็งแรง ทั้งยังเป็นมรดกทางธรรมชาติที่แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ เป็นเพชรเม็ดงามแห่งลุ่มแม่น้ำโขง และเหล่านักวิจัยเองก็มีคุณค่าเทียบเท่ากัน” เขากล่าว