จำเลยคดีระเบิดราชประสงค์ บรรยายสภาพน่าสลดใจในเรือนจำหลักสี่

ทั้งคู่มาศาลวันนี้ เพื่อมารับรู้ว่าการนัดสืบพยานคดีระเบิดปี 58 จะเริ่มพฤศจิกายนนี้
นนทรัฐ ไผ่เจริญ
2022.01.17
กรุงเทพฯ
จำเลยคดีระเบิดราชประสงค์ บรรยายสภาพน่าสลดใจในเรือนจำหลักสี่ เจ้าหน้าที่ตำรวจคุ้มกันจำเลยคดีวางระเบิดศาลพระพรหมเอราวัณ โดยมีนายอาเด็ม คาราดัก (ด้านหน้า) และ นายไมไรลี ยูซุฟู ถูกนำตัวขึ้นศาลทหาร ในกรุงเทพฯ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559
เอเอฟพี

นายอาเด็ม คาราดัก และนายไมไรลี ยูซุฟู จำเลยทั้งสองคนในคดีวางระเบิดศาลพระพรหม สี่แยกราชประสงค์ เมื่อปี 2558 เปิดเผยกับเบนาร์นิวส์ว่า ในเรือนจำไม่อนุญาตให้ติดต่อกับญาติ พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากอาคารที่คุมขัง ไม่เคยเห็นเดือนเห็นตะวัน และบางครั้งก็จัดอาหารที่เป็นเนื้อหมู แม้ว่าพวกเขาจะนับถือศาสนาอิสลามก็ตาม

นายอาเด็ม และนายไมไรลี มายังศาลในชุดนักโทษสีน้ำตาล ถูกใส่กุญแจมือ และกุญแจเท้า ได้กลับมาขึ้นศาลอีกครั้งในวันจันทร์นี้ หลังจากการพิจารณาถูกเลื่อนมากว่า 2 ปี เนื่องด้วยปัญหาโควิด-19 และการไม่มีล่ามแปลภาษา หลังจากเสร็จสิ้นการนัดพร้อมในศาลอาญา ทั้งสองเปิดเผยกับเบนาร์นิวส์ผ่านล่ามว่า

“ในเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ ไม่แออัดแบบเรือนจำที่อื่น โดยในห้องขังมีเพียงแค่เขาสองคน แต่ความยากลำบากคือ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากอาคารไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน"

“เรือนจำไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ ไม่มีหนังสือให้อ่าน ไม่สามารถเขียนหนังสือ หรือเขียนจดหมายติดต่อกับภายนอกได้ ทำให้ตั้งแต่ถูกควบคุมตัวมาพวกเขาไม่สามารถติดต่อกับญาติได้ ครอบครัวจึงไม่ทราบข่าวของพวกเขา นับตั้งแต่ที่พวกเขาถูกควบคุมตัวในปี 2558” ล่ามแปลคำพูดของจำเลยทั้งสอง ๆ บอกอีกว่า

"อาหารที่ได้รับจากเรือนจำบางครั้งมีเนื้อหมู ทั้งที่พวกเขานับถือศาสนาอิสลาม”

นายอาเด็ม และนายไมไรลี ถูกพาตัวจากเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ มายังศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อมาตามนัดพร้อมของศาลในเวลา 13.30 น. โดยภายในห้องพิจารณาคดีมีผู้สังเกตการณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชน และสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย รวมกว่า 10 คน โดยนับเป็นการขึ้นศาลพลเรือนครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2563

นายชูชาติ กันภัย ทนายความของนายอาเด็ม เปิดเผยว่า ในการนัดพร้อมวันจันทร์นี้ ศาลได้นัดสืบพยานจำนวน 10 นัด โดยจะนัดเดือนละ 2 ครั้ง

“ฝ่ายโจทก์ได้แจ้งต่อศาลว่า มีความประสงค์ที่จะสืบพยานรวม 424 ปาก ขณะที่ฝ่ายทนายความจำเลย แถลงว่า ฝ่ายโจทก์ได้มีการสืบพยานไปบางส่วนแล้ว (ในการพิจารณาของศาลทหาร กรุงเทพฯ) จึงขอให้สืบพยานอีกแค่เพียงบางส่วน โดยจะนัดสืบพยานครั้งต่อไปในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565” นายชูชาติ กล่าว

ขณะที่ นายจำเริญ พนมภคากร ทนายความของนายไมไรลี เปิดเผยว่า ฝ่ายจำเลยจะยื่นขอสืบพยานประมาณ 5-10 ปากเท่านั้น โดยการสืบพยานถูกวางไว้ในวันที่ 1-2 พฤศจิกายน, 22-25 พฤศจิกายน, 6-9 ธันวาคม 2565

คดีล่าช้า

ในวันเดียวกันศาลแจ้งจำเลยว่าจะใช้ล่ามภาษาอุยกูร์ ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตจีนจัดหามาให้ ซึ่งแม้ว่าฝ่ายทนายความจำเลยจะได้คัดค้านการใช้ล่ามจากจีน โดยให้เหตุผลว่า ล่ามจากจีนอาจทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง และขอใช้ล่ามซึ่งฝ่ายตนหามา แต่ศาลยืนยันจะให้ใช้ล่ามจากจีน โดยล่ามจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในการสืบพยานครั้งแรก

ด้าน นางชลิดา ทาเจริญศักดิ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิศักยภาพชุมชน เห็นว่า กระบวนการใช้ล่ามในคดีนี้มีปัญหา

"เรารู้สึกว่า มีปัญหาเรื่องล่าม เราในฐานะองค์กรสิทธิเห็นว่า จำเลยควรมีสิทธิพื้นฐานในการเลือกล่าม เพราะมันมีผลต่อคดีของเขามาก มีผลกับความเป็นความตายของเขา"

"เราเห็นว่า ศาลไม่เข้าใจการเมือง เรื่องอุยกูร์กับจีน เพราะถ้าเข้าใจบริบทการเมือง ศาลไม่ควรใช้ล่ามที่มาจากรัฐบาลจีน ซึ่งแสดงให้เห็นความไม่สมเหตุสมผลในกระบวนการจัดหาล่าม" นางชลิดา กล่าวกับเบนาร์นิวส์

ความเป็นมา : คดีระเบิดบริเวณศาลท้าวมหาพรหม และกระบวนการศาล

คดีของนายอาเด็ม และนายไมไรลี ถูกโอนย้ายจากศาลทหารมายังศาลอาญากรุงเทพใต้ในปลายปี 2562 และได้ขึ้นศาลครั้งแรกในเดือนมกราคม 2563 ต่อมาศาลได้นัดเพียงทนายความเพื่อตกลงเรื่องวันนัดพร้อมในเดือนสิงหาคม 2564 แต่การพิจารณาคดีต้องเลื่อนมาโดยตลอดด้วยปัญหาที่ยังไม่สามารถหาล่ามภาษาอุยกูร์ ที่จำเลยทั้งสองคนยอมรับได้ และการแพร่ระบาดของโควิด-19

คดีของ นายอาเด็ม และนายไมไรลี สืบเนื่องจากการเกิดเหตุระเบิดบริเวณศาลท้าวมหาพรหม โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ในค่ำวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ตามภาพทีวีวงจรปิด มีผู้ชายใส่เสื้อสีเหลืองวางกระเป๋าซึ่งเชื่อว่าบรรจุระเบิดเอาไว้ตรงม้านั่ง ภายในบริเวณศาลฯ ต่อมาฉนวนระเบิดถูกจุดแรงระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต 20 คน และบาดเจ็บกว่า 120 ราย และในวันถัดมาเกิดเหตุระเบิดบริเวณท่าเรือสาทร แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ปลายเดือนสิงหาคม 2558 เจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวนายอาเด็ม หรือ นายบิลาล โมฮัมเหม็ด ที่พูนอนันต์อพาร์ทเม้นต์ ย่านหนองจอก ต่อมานายไมไรลี ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ขณะกำลังจะข้ามแดนไปยังประเทศกัมพูชา เนื่องจากทั้งคู่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีระเบิดดังกล่าว โดยทั้ง 2 คนมีเชื้อสายอุยกูร์ มีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองอุรุมชี เขตปกครองพิเศษซินเจียง อุยกูร์ (XUAR) ประเทศจีน โดยในชั้นพนักงานสอบสวนทั้งคู่ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุ

อัยการทหารส่งฟ้องจำเลยในหลายข้อหาสำคัญประกอบด้วย ข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่ออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง และใช้วัตถุระเบิดในการกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันพยายามกระทำให้เกิดระเบิด, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิด จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นต้น ซึ่งหากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 นายอาเด็ม และนายไมไรลี ได้ขึ้นศาลทหาร กรุงเทพฯ ครั้งแรก ทั้งคู่ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และอ้างว่า เหตุผลที่ยอมสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นเพราะถูกทำร้ายร่างกาย ต่อมาการพิจารณาในชั้นศาลทหารเป็นไปด้วยความล่าช้า เนื่องจากติดปัญหาเรื่องการหาล่ามภาษาอุยกูร์ และพยานบางคนไม่มาศาลตามนัด

ในคดีเดียวกัน เจ้าหน้าที่ยังได้ทำการออกหมายจับผู้ต้องสงสัยอีก 15 คน โดยในปี 2560 ตำรวจได้จับกุมตัว น.ส. วรรณา สวนสัน หรือ ไมซาเราะห์ ชาวจังหวัดพังงา หนึ่งในผู้ต้องสงสัย ซึ่งภายหลัง น.ส. วรรณา ถูกตั้งข้อหาร่วมกันมียุทธภัณฑ์และครอบครองวัตถุระเบิด เพราะเช่าห้องให้แก่นายอาเด็ม และนายไมไรลี

ในเดือนกรกฎาคม 2562 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้โอนคดีพลเรือนในศาลทหาร กลับมาพิจารณาในศาลปกติ คดีของนายอาเด็ม และนายไมไรลี จึงถูกโอนมายังศาลอาญากรุงเทพใต้

นายชูชาติ กันภัย ทนายความของนายอาเด็ม กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ว่า เมื่อเข้าสู่การพิจารณาของศาลพลเรือน คดีก็ยังมีความล่าช้า เนื่องจากไม่มีล่ามแปลภาษาอุยกูร์ ที่จำเลยยอมรับ กระทั่งในเดือนสิงหาคม 2564 จำเลยทั้งคู่ยินยอมที่จะใช้ล่ามซึ่งสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเป็นผู้จัดหาให้ แต่ด้วยขั้นตอนการเข้าประเทศช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้การนัดพร้อมถูกเลื่อนจากกำหนดเดิมในตุลาคม 2564 เป็นเดือนมกราคม 2565

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง