แกนนำ “คณะราษฎร” คงยืนยันข้อเรียกร้องสามข้อ

ทีมข่าวเบนาร์นิวส์
2020.11.02
กรุงเทพฯ
201102-TH-protest-king-1000.jpg พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระดำเนินทักทายพสกนิกร ที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จอย่างใกล้ชิดเนืองแน่น หลังทรงเปลี่ยนเป็นเครื่องทรงฤดูหนาว ถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร นอกพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563
เอเอฟพี

ในวันจันทร์นี้ แกนนำคณะราษฏร เปิดเผยแก่เบนาร์นิวส์ว่า ข้อเรียกร้องทั้งหมดของกลุ่มผู้ชุมนุมยังคงเดิม แม้ว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงตรัสตอบคำถามสื่อมวลชนต่างประเทศว่า ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งการประนีประนอม โดยกลุ่มเยาวชนปลดแอก ระบุในเฟซบุ๊กเพจตอนหนึ่งว่า ทั้งหมดนี้ไม่อาจเรียกประเทศไทย ได้ว่า ดินแดนแห่งการประนีประนอม แต่ต้องเรียก ดินแดนแห่งความอยุติธรรม

นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ หนึ่งในแกนนำคณะราษฏร กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ในวันจันทร์นี้ว่า ข้อเรียกร้องทั้งสามข้อของกลุ่มผู้ประท้วงยังชัดเจนเช่นเดิม

“ชัดเจนว่า ส่วนของผม ประชาชนปลดแอก เยาวชนปลดแอก DRG (กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย) และแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ไม่มีความเห็นให้ลดเพดาน ยังยืนยันว่าเป็นไปตามข้อเรียกร้องเดิม ยืนยันว่าข้อเรียกร้องสามข้อ ยังชัดเจน คือ คุณประยุทธ์ต้องลาออก มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มี ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้งและร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” นายปิยรัฐ กล่าว

นายปิยรัฐ ยังกล่าวอีกว่า การประท้วงจะไม่นำไปสู่การกระทบกระทั่งระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและกลุ่มแนวคิดก้าวหน้า

“ถ้าต่างฝ่ายต่างรักในแนวทางสันติและสงบ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เราเคยเดินผ่านกลุ่มคนเสื้อเหลือง ที่จงรักภักดีแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้น เราจะเคลื่อนไหวต่อไปก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เว้นแต่มีการก่อกวน จากมือที่สามหรือกลุ่มที่อยากให้เกิดความรุนแรง นั่นก็ต้องเป็นความรับผิดชอบเจ้าหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัย” นายปิยรัฐ กล่าวเพิ่มเติม

และในเฟซบุ๊กแฟนเพจ “เยาวชนปลดแอก - Free Youth” ได้เขียนข้อความระบุ หลังจากนั้นเช่นกันว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังพยายามอยู่ไม่ใช่การประนีประนอม

“ความจริงคือ สิ่งที่รัฐกำลังทำไม่ใช่ LAND OF COMPROMISE (ดินแดนแห่งการประนีประนอม) ไม่ว่าจะเป็นการยัดคดีหลายสิบคดีให้กับผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการฉีดน้ำสลายการชุมนุม ทั้ง ๆ ที่ผู้ชุมนุมจำนวนมากเป็นเยาวชน และไม่มีวี่แววว่าจะใช้ความรุนแรงใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดประชาชนออกจากสมการ รัฐประหารโดยมีใบเซ็น ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับแล้วฉบับเล่า"

"ทั้งหมดนี้ไม่อาจเรียกได้ว่า LAND OF COMPROMISE แต่เรียกได้ว่า LAND OF INJUSTICE (ดินแดนแห่งความอยุติธรรม)” ข้อความตอนหนึ่งระบุ

ในหลวง ร.10 : ไทยประเทศแห่งการประนีประนอม

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินทักทายประชาชนที่มาเฝ้ารอรับเสด็จฯ ที่บริเวณท้องสนามหลัง หลังจากพระองค์ทรงเสด็จไปประกอบพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝนเป็นฤดูหนาว ถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง

ระหว่างที่ในหลวงทรงทักทายประชาชน นายโจนาธาน มิลเลอร์ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ของอังกฤษ และสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ของสหรัฐอเมริกา ทรงทูลถามในหลวงเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งในหลวงทรงมีพระราชดำรัสว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความเห็น… ข้าพเจ้ารักพวกเขาทุกคนเท่ากัน ข้าพเจ้ารักพวกเขาทุกคนเท่ากัน ข้าพเจ้ารักพวกเขาทุกคนเท่ากัน… ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งการประนีประนอม”

ขณะที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงดำรัสว่า “เรารักคนไทย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม และประเทศนี้มีสันติสุข และข้าพเจ้ารักมัน ข้าพเจ้ามีความสุข เพราะนี่คือ ความรักจริง ๆ อย่างที่คุณเห็น ถูกต้องใช่ไหม”

ซึ่งเฟซบุ๊กแฟนเพจ “เยาวชนปลดแอก - Free Youth” ได้เขียนข้อความพาดพิงถึงการพระราชทานสัมภาษณ์ดังกล่าว โดยระบุว่า ทางออกเดียวของประเทศ คือ การตอบสนองต่อข้อเรียกร้องสามประการนั้น

“การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ การมีรัฐธรรมนูญจากประชาชน การที่ประยุทธ์และองคาพยพต้องออกไปจากการถือครองอำนาจนำ เป็นทางออกเดียวของประเทศที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญได้อย่างสงบ และไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อ” ข้อความบนแฟนเพจ ระบุ

ศาลสั่งปล่อยตัวแกนนำประท้วงทั้ง 7 คน

ในวันจันทร์นี้ ศาลมีคำสั่งยกคำร้องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขอให้ฝากขังแกนนำคณะราษฎร ทำให้นายเอกชัย หงส์กังวาน, นายอานนท์ นำภา, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายสุรนาถ แป้นประเสริฐ ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ ส่วนแกนนำอีกสามราย คือ นายภาณุพงศ์ จาดนอก น.ส. ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่ได้รับการปล่อยตัวจากการควบคุมตัวของ สน.ประชาชื่น เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลพระราม 9

นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยรายละเอียดแก่เบนาร์นิวส์ว่า คณะทนายความได้ยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ถอนการฝากขังแกนนำคณะราษฎร ซึ่งศาลได้พิจารณาแล้วเห็นควรให้ยกคำร้องฝากขัง แกนนำจึงถูกปล่อยตัวทันที

“ทนายความได้ยื่นคัดค้านการฝากขังแล้ว และศาลพิจารณาแล้วก็มีคำสั่งให้ยกคำร้อง แกนนำ 4 คน ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ… ไมค์-รุ้ง ศาลก็มีคำสั่งยกคำร้องขอฝากขังเช่นกัน ส่วนเพนกวินนั้น หมายจับของ สภ.เมืองอุบลฯ สิ้นผลไปแล้ว ตอนนี้ ทุกคนจึงไม่ใช่ผู้ต้องหา ไม่ใช่ผู้ถูกจับ มีเสรีภาพเต็มที่” นายนรเศรษฐ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ศูนย์ทนายฯ ระบุว่า แม้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอฝากขังของพนักงานสอบสวน แต่เจ้าหน้าที่เรือนจำอ้างว่า ศาลยังไม่ออกหมายปล่อย ทำให้ทั้งหมดต้องรอหมายขังที่ศาลออกก่อน ซึ่งครบกำหนดในเวลาเที่ยงคืน และเมื่อหลังเที่ยงคืนวันจันทร์ เป็นเช้าวันอังคารที่ 3 พ.ย. นายอานนท์ นำภา, นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข, และนายเอกชัย หงส์กังวาน ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ หลังศาลอาญา รัชดาฯ มีคำสั่งยกคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวน

นายนรเศรษฐ์ ระบุว่า นายอานนท์ และนายสมยศ ก่อนหน้านี้ถูกควบคุมตัวจากการร่วมชุมนุมที่ท้องสนามหลวงในวันที่ 19-20 กันยายน 2563 ขณะที่ นายเอกชัย และนายสุรนาถ ถูกควบคุมตัวจาก การรบกวนขบวนเสด็จพระราชดำเนินของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563

ขณะที่ในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน ได้ยื่นขออำนาจศาลฝากขัง น.ส. ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง จากการร่วมจัดกิจกรรมทวงความเป็นธรรมให้ นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ และอ่านประกาศคณะราษฎร ในวันที่ 5 มิถุนายน และวันที่ 22 มิถุนายน 2563 และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองระยอง ได้ยื่นขออำนาจศาลฝากขัง นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ จากการชูป้ายไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 ที่จังหวัดระยอง อย่างไรก็ตาม ศาลได้มีคำสั่ง ยกคำร้องขอฝากขังคนทั้งคู่ไปแล้ว

ปัจจุบัน น.ส. ปนัสยา, นายภานุพงศ์ และ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ซึ่งได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำในวันศุกร์ที่ผ่านมา ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลพระราม 9 เบื้องต้น แพทย์ระบุว่า คนทั้งหมดมีอาการอ่อนเพลีย มีบาดแผลตามร่างกาย ทำให้ยังต้องรักษาภายในโรงพยาบาล

“ไม่สามารถระบุได้ว่า คนทั้ง 3 ถูกซ้อมทรมาน ระหว่างการควบคุมตัวหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คนทั้งหมดจะแถลงข่าวเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บดังกล่าวเมื่อหายดี และออกจากโรงพยาบาล ซึ่งเชื่อว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลภายในสัปดาห์นี้” นายนรเศรษฐ์ ระบุ

ทั้งนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รวบรวมข้อมูลระบุว่า นับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2563 เป็นต้นมา มีแกนนำและผู้ร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาล และเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกควบคุมตัวทั้งสิ้น 90 ราย

นักวิชาการเห็นว่า ยากที่รัฐบาลจะปฏิรูป หรือยอมเปลี่ยนแปลง

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในวันจันทร์นี้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีว่า ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว และตนเองไม่เคยมีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา

“การปรับเปลี่ยนอะไรต่างๆ มันไม่ง่าย เหมือนพลิกฝ่ามือ แต่ทั้งหมดถ้าเรารวมใจไทยสร้างชาติ ทุกคนถ้าใครทำอะไรถ้ามันดี สนับสนุนเขา ดีนะ แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ถูกต้อง ชอบธรรม… เราเป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยสักอันนึง ที่นั่งอยู่นี่ก็เลือกตั้งมาทั้งนั้น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ขณะที่ นายฐิติพล ภักดีวานิช คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เชื่อว่า เป็นไปได้ยากที่รัฐบาลจะปฏิรูป หรือยอมเปลี่ยนแปลงตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม

“ฝ่ายรัฐหรือผู้มีอำนาจไม่น่าจะมีการปรับเปลี่ยน เพราะรัฐบาลยังมีกลุ่มที่สนับสนุนอยู่ และไม่มีท่าทีชัดเจน ไม่ได้แสดงเจตนารมณ์อะไรที่ชัดเจนว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรต่างๆตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม…” นายฐิติพล กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ผ่านโทรศัพท์

“ในความคิดผม วิธีการที่จะลดความตึงเครียดของสถานการณ์ได้ดีที่สุดคือ รัฐควรแสดงความชัดเจนว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องอำนาจ ส.ว. ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะง่ายที่สุดและเบาที่สุดที่สามารถทำได้ และเพื่อทำให้การเมืองเป็นระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ตามที่กลุ่มผู้เรียกร้องต้องการ แต่ ส.ว. เองก็เป็นกลไกในการรักษาอำนาจของทหาร ซึ่งก็เชื่อว่าเป็นไปได้ยากที่ทหารจะเลือกวิธีนี้” นายฐิติพล กล่าว

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง