สธ. เสนอปิดโรงเรียน ร้านอาหารปิด 3 ทุ่ม ใน 18 จังหวัด

นนทรัฐ ไผ่เจริญ และคุณวุฒิ บุญฤกษ์
2021.04.15
กรุงเทพฯ
สธ. เสนอปิดโรงเรียน ร้านอาหารปิด 3 ทุ่ม ใน 18 จังหวัด ประชาชนพากันออกมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามวัด เพื่อเป็นสิริมงคลในห้วงวันขึ้นปีใหม่ไทย ขณะที่มีการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ระลอกที่สามเพิ่มมากขึ้น ในกรุงเทพฯ วันที่ 15 เมษายน 2564
รอยเตอร์

ในวันพฤหัสบดีนี้ กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเสนอให้ร้านอาหารในพื้นที่ 18 จังหวัดควบคุมสูงสุด เปิดให้บริการได้ถึง 21.00 น. และงดการเรียนการสอนในบางพื้นที่ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยระบุว่า มีผู้ติดเชื้อยืนยันเพิ่ม 1,543 ราย เป็นการทำสถิติสูงสุดในการพบผู้ติดเชื้อสองวันติดต่อกัน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยหลังการประชุม คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2564 ว่า ที่ประชุมมีมติให้เสนอมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันศุกร์นี้

“ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการหลักๆ ประกอบด้วย 1. ปรับพื้นที่จังหวัดเป็น 2 สี คือ พื้นที่ควบคุมสูงสุด จังหวัดสีแดง 18 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม ภูเก็ต นครราชสีมา นนทบุรี สงขลา ตาก อุดรธานี สุพรรณบุรี สระแก้ว ระยอง และขอนแก่น และ พื้นที่ควบคุม จังหวัดสีส้ม 59 จังหวัดที่เหลือ มาตรการจำกัดเวลาให้บริการร้านอาหาร โดยพื้นที่สีแดง เปิดได้ถึงเวลา 21.00 น.” นายอนุทิน กล่าว

“พื้นที่สีส้ม เปิดถึงเวลา 23.00 น. ส่วนมาตรการอื่น ทั้งพื้นที่สีแดงและสีส้มต้องปฏิบัติเหมือนกันในทุกจังหวัด เช่น ปิดสถานบริการในลักษณะผับ บาร์ คาราโอเกะ อาบอบนวด ห้ามจำหน่ายสุราและห้ามดื่มในร้านอาหารทุกจังหวัด งดการเรียนการสอน ซึ่งคาดว่าไม่กระทบมากเพราะว่าช่วงนี้อยู่ในระหว่างปิดเทอม” นายอนุทิน กล่าว

นอกจากนั้น นายอนุทิน กล่าวเพิ่มเติมว่า จะให้งดกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก งดงานเลี้ยงงานสังสรรค์ทุกประเภท ยกเว้นการจัดในครอบครัว งดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของคนมากกว่า 50 คน ปิดบริการสวนสนุกและเครื่องเล่นในห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะมีรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม  อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวจะมีผู้บังคับใช้ก็ต่อเมื่อผ่านความเห็นชอบของที่ประชุม ศบค. ในวันศุกร์นี้ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติในสัปดาห์หน้า

ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันสูงสุด

ด้าน นพ.เฉวตสรร นามวาท รักษาการผู้อำนวยการกองการควบคุมโรคและภัยสุขภาพ ในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการแถลงข่าวสถานการณ์โควิด-19 ว่า ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อยืนยันในหนึ่งวันมากเป็นสถิติสูงสุดอีกครั้ง โดยนับเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันแล้ว หลังจากวันพุธที่ผ่านมาพบติดเชื้อรายใหม่ 1,335 ราย

“ตัวเลขของประเทศไทย 1,543 ราย เป็นการตรวจเจอในระบบบริการ หรือว่าโรงพยาบาล 1,161 ราย ที่เจอในการคัดกรองเชิงรุก 379 ราย ในช่วงนี้มีผู้ป่วยที่มีอาการหนักที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ในโรงพยาบาล 11 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม… ตอนนี้ วัคซีนเข็มที่หนึ่งฉีดไปแล้ว ยอดรวม 507,360 ราย เข็มที่สอง 73,958 ราย มีความก้าวหน้าเป็นไปตามแผน รวมฉีดแล้ว 581,308 เข็ม” นพ.เฉวตสรร กล่าว

สธ. ระบุว่า ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมคงที่ 97 ศพ ยอดผู้ติดเชื้อวันนี้เป็นการ ติดเชื้อในประเทศ 1,540 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 3 ราย รักษาหายและกลับบ้านได้เพิ่ม 61 ราย ยอดรักษาหายสะสม 28,383 ราย อยู่ระหว่างรักษาตัว 8,937 ราย แบ่งเป็นในโรงพยาบาล 8,389 ราย และโรงพยาบาลสนาม 584 ราย ขณะที่จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในการระบาดระลอกล่าสุด คือ กรุงเทพฯ 2,385 เชียงใหม่ 1,477 ชลบุรี 744  ประจวบคีรีขันธ์  525 และสมุทรปราการ 476 โดยส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่เชื่อมโยงกับสถานบันเทิง

ขณะเดียวกัน นพ. ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวในการแถลงข่าวระบุว่า สธ.ประเมินว่า ประเทศไทยจะมีผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 500 รายต่อวัน

“ตอนนี้เราคุยกัน คาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยใหม่ประมาณ วันละ 4-500 คน ดังนั้นฮอสปิเทลเราจะเตรียมให้ได้ 5-7000 เตียง… เราเตรียมโรงพยาบาลทุกสังกัดใน กทม. ตั้งแต่สาธารณสุข กองทัพ โรงพยาบาลตำรวจ มหาวิทยาลัย ที่สำคัญโรงพยาบาลเอกชน เตรียมไว้ทั้งหมด 6,525 เตียง ปัจจุบันมีการใช้ ครองเตียงประมาณ 3,700 กว่าเตียง แต่อย่างไรเตียงนี้ก็เก็บไว้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการค่อนข้างเยอะ แล้วก็เป็นการเตรียมการล่วงหน้าที่จะต้องลดความแออัดของสถานพยาบาล” นพ.ธเรศ กล่าว

“ฮอสปิเทล ใช้ในสองกลุ่มคือ กลุ่มที่ไม่มีอาการ อีกกลุ่มหนึ่งคือ เมื่ออยู่ในโรงพยาบาล 3-5 วันแล้วอาการไม่แย่ลง อาการปกติก็สามารถย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ ในทุกฮอสปิเทลต้องมีแพทย์ 1 คนประจำ อัตราส่วน 20 เตียงต่อ 1 พยาบาล แล้วก็เครื่องมือเครื่องไม้ต่างๆ ขณะนี้เราดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 9 ขณะนี้เราสามารถที่จะขึ้นทะเบียน ฮอสปิเทลในกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ 23 แห่ง จำนวนที่ขออนุมัติไว้ 4,900 เตียง ผมคิดว่า จะเป็นช่องทางเลือกที่สำคัญอันหนึ่งที่คู่กับเตียงของโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนามมีผู้ป่วยเข้าไปเกือบ 2,000 เตียงแล้ว” นพ.ธเรศ กล่าวเพิ่มเติม

ตม. ระบุสถานการณ์โควิด-19 ในห้องกักมีแนวโน้มดีขึ้น

พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวว่า ผลการปฏิบัติการโรงพยาบาลสนามของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง บางเขน พบว่า สถานการณ์ในโรงพยาบาลดีขึ้นตามลำดับ มีผู้ต้องกัก 1,379 คน โดยมีผู้ติดเชื้อพักในการรักษาตัวโรงพยาบาลสนาม และในห้องกัก ตม.บางเขน 318 คน ทั้งหมดมีอาการดีขึ้นเป็นลำดับ และในวันที่ 20 - 22 เมษายน 2564 จะมีการตรวจเชื้อเพิ่มเติม หากพบว่าไม่มีผู้ติดเชื้ออีก จะเริ่มทยอยส่งตัวผู้ที่หายดีแล้วออกจากโรงพยาบาลสนาม เพื่อเข้าสู่กระบวนการผลักดันออกนอกประเทศต่อไป โดยตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 เป็นต้นมามีผู้ลักลอบเข้าเมือง 2,490 คน

ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ในวันพฤหัสบดีนี้ พลตำรวจตรี นรินทร์ บูสะมัญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวชาวไทย รวมทั้งเด็กสามคน รวบเป็น 38 คน ที่ทำงานในมาเลเซียแล้วตกค้างอยู่ เพราะโรคโควิดและได้ลักลอบกลับบ้านเกิดตามช่องทางผิดกฎหมายในเภอสุไหงโกลก โดยทั้งหมดถูกนำไปเข้ากระบวนการกักตัวเพื่อตรวจโรค

“จากการสอบถามเบื้องต้น กลุ่มแรงงานไทยทั้งหมดมีอาชีพรับจ้างร้านอาหาร รับจ้างทั่วไป ใน มาเลเซีย เดินทางมาจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ฯ ซึ่ง มีค่าใช้จ่ายให้นายหน้ามาเลเซีย ประมาณ 600 ริงกิต ต่อคน ช่วงนี้ก็ค้องเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ คาดว่าจะมีเข้ามาเพิ่ม” พลตำรวจตรี นรินทร์ กล่าว

ทั้งนี้ ในห้วงสัปดาห์นี้ คาดว่า กลุ่มแรงงานไทยในประเทศ มาเลเซีย ที่ได้ลักลอบเข้าไปทำงานในมาเลเซีย อาจจะมีการลักลอบกลับประเทศไทยมากขึ้นกว่าปกติ เพราะต้องการกลับเข้ามาประเทศให้ทันในห้วงวันอิดิลฟิตรี รายอ ใน กลางเดือนพฤษภาคมนี้ เนื่องจากจะต้องกักตัวดูอาการ 14 วัน หากกลับประเทศไทยในห้วงนี้ ทำให้พ้นจากการกักตัว สามารถร่วมการฉลองฮารีรายอได้ทันเวลา

เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ในขณะนี้ ในสามจังหวัดชายแดนใต้พบว่ามีผู้ป่วยในนราธิวาส 310 คน ปัตตานี 6 คน และ ยะลา 2 คน ส่วนหนึ่งเป็นผู้กลับมาจากมาเลเซีย

เชียงใหม่ผู้ติดเชื้อเพิ่ม โรงพยาบาลสนามไม่ได้มาตรฐาน

ในการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 จังหวัดเชียงใหม่ถือเป็นจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด รองจากกรุงเทพฯ ทำให้ปัจจุบัน ต้องมีการนำใช้โรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบคือ โรงพยาบาลสนามกว่าพันเตียงนั้น ยังมีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน แม้ว่าจะสามารถจัดการกับปัญหาส่วนอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็วกว่าครั้งที่ผ่านๆ มาว่า การระบาดของโควิด-19 ระลอกล่าสุดนี้ ท้องถิ่นเชียงใหม่สามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างรวดเร็วกว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเร่งตรวจ และการจำกัดการให้บริการของผู้ประกอบการต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตามแผนการทำโรงพยาบาลสนาม ที่ปัจจุบันรองรับได้มากกว่าพันเตียงนั้นยังถือว่า ด้อยคุณภาพ

“พูดกันอย่างแฟร์ ๆ การแอคชั่นของผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ถือว่าเป็นเรื่องดีที่อย่างน้อยเร่งทำโรงพยาบาลสนามไว้รองรับ หลังจากเตียงผู้ป่วยของโรงพยาบาลรัฐและเอกชนไม่พอ แต่ปัญหาคือโรงพยาบาลสนามไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจทำให้การให้บริการทางการแพทย์ไม่ได้มาตรฐานไปด้วย จะเห็นว่าเตียงนั้นไม่ได้มีฉากกั้นหรือแบ่งสัดส่วนอย่างที่ควรจะเป็น จนเกิดกระแสคนเอาภาพมาเปรียบเทียบกับประเทศต่าง ๆ เช่น ฮ่องกง และอเมริกา” นายพิทธิกรณ์ ปัญญามณี นักวิจัยปริญญาเอก คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวกับเบนาร์นิวส์

ขณะที่ ผศ.ดร. ธัญณ์ณภัทร์ เจริญพานิช อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่ภาคเหนือส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับนักศึกษา ที่ได้แสดงความรับผิดชอบไทม์ไลน์แต่กลับถูกตำหนิ ในขณะที่รัฐบาลควรแก้ไขเรื่องความล่าช้าในการฉีดวัคซีนมากกว่า

“นักศึกษาที่ติดโควิดจำนวนหนึ่ง ต่างแชร์ข้อมูลการเดินทางในกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มลูกช้าง มช. ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งอาการและประสบการณ์การเข้าโรงพยาบาลสนาม เด็กๆ กลุ่มนี้มีความรับผิดชอบต่อสังคม และยอมรับความจริง การไปตำหนินักศึกษา โดยที่ไม่ได้ตั้งคำถามกับการแก้ไขปัญหาของรัฐนั้น เป็นเรื่องที่น่าพิจารณามากๆ... สิ่งที่ต้องตั้งคำถามมากกว่าคือทำไมนักศึกษาประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันมากกว่า” ผศ.ดร. ธัญณ์ณภัทร์ กล่าว

มารียัม อัฮหมัด ในปัตตานี ร่วมรายงานข่าว

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง